posttoday

คลัง ไม่ถอยแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น ชี้ชัดแหล่งที่มาของเงินสิ้นเดือนต.ค.นี้

09 ตุลาคม 2566

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ นำทีมผู้บริหารกระทรวงคลัง ประกาศเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ชี้เป็นนโยบายที่ประชาชน-ภาคเอกชนทั้งประเทศรอคอย พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะของสังคม เล็งขยายรัศมีโครงการ ตอบโจทย์เพิ่มความคล่องตัว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้า โครงการแจกเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หลังนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการลงชื่อออกมาคัดค้านโครงการว่า กระทรวงการคลังยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการ เพื่อให้เงินถึงมือประชาชนในวันที่ 1 ก.พ.2566 ตามที่ได้ประกาศไว้ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาฯ และประชาชนไว้แล้ว จึงต้องเดินหน้าต่อไป และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จากตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยที่ชัดว่า  เศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบาง ภาคเกษตรกรมีรายได้ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนสูง เป็นต้น ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าภูมิภาค ขยายตัวต่ำที่ควรเป็นมานาน 

 

ดังนั้นเราต้องจุดชนวน หรือรีสตาร์ทชีวิตเศรษฐกิจให้ขยายตัวอีกครั้ง โดยตั้งเป้าว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 5% ต่อปี ในระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้า ภายใต้การเติบโตอย่างอย่างมีศักยภาพ และควบคู่ไปกับเสถียรภาพ

 

“วันนี้เราสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่า  รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนร้อยทั้งร้อย และภาคเอกชนรอคอย โครงการนี้ไม่เพียงกระตุ้นการใช้จ่ายยัง เกิดการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการจ้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะคำนึงถึงความคุ้มค่า วินัยการเงินและการคลัง” นายจุลพันธ์ กล่าว

 

นอกจากนี้ เงินที่ใช้ไปกับโครงการจะได้คืนกลับมาในรูปแบบตัวคูณทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น อาทิ รายได้จากภาษี VAT และยังเป็นสร้างรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และ GOVERNMENT ในอนาคต ส่วนที่มีการพูดว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินคริปโตเคอเรนซี่มีการซื้อกักตุนไว้ก่อนแล้ว ขอยืนยัยว่าไม่ใช่การเสกเงินมาใหม่ ไม่มีการปรับมูลค่า แบ็คอัพบาทต่อบาท แต่ในบาทดิจิทัล ที่มีการกำหนดเงื่อนไขการใช้ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา และนำไปใช้จ่ายหนี้สิน

 

นายจุลพันธ์ ยังกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชน และทุกฝ่ายมั่นใจว่า รัฐบาลจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ส่วนกระแสคัดค้านของบรรดานักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์นั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่สังคมได้มีการแสดงความเห็นอย่างเปิดกว้าง หลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน ซึ่งทางรัฐบาลยืนยันว่า จะเปิดกว้าง และไม่ปิดกั้นทุกความคิดเห็น จะปรับแก้ให้เกิความสมดุล ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet  จะรวบรวมนำข้อมูลนำไปเสนอไปเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายกฯเป็นประธาน เพื่อพิจารณาต่อไป

 

สำหรับที่มาของเงินที่มาทำโครงการ ที่หลายคนสงสัย ขณะนี้คณะกรรมการฯอยู่ระหว่างพิจารณาแหล่งที่มา เนื่องจากมีหลายทางเลือก ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากงบประมาณ 2567 ส่วนจะมาจากมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ด้วยหรือไม่นั่น จะสามารถสรุปความชัดเจนได้ภายในสิ้นเดือนต.ค.นี้  ส่วนเงื่อนไขรัศมี 4 กม.นั้น เป็นอำนาจของอนุกรรมกร ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการขยายกรอบให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น อาจเป็นตำบล อำเภอ หรือจังหวัด โดยจะได้ข้อสรูปในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน
 

 

ทั้งนี้ จะมีการประชุมของคณะอนุกรรมการฯนัดแรกในวันที่ 12 ต.ค.นี้ และในวันที่ 19 ต.ค.นี้จะเป็นการประชุมนัดที่ 2 เพื่อหาข้อสรุปของโครงการ และที่มาของเงิน และนำเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป 


ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  กล่าวว่า หากดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะภาคส่งออก ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยนอกประเทศจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก จึงคิดว่า เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงเครื่องเดียวจึงไม่พอที่จะประคับประครองเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้ยากลำบากมากขึ้น ขณะที่การบริโภค การเก็บภาษี VAT ยังไม่โต จะไปเติบโตในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหารเท่านั้นจึงมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐฏิจโดยเร็ว

 

นายลวรณ แสงสนิท  ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นโยการเงิน กับนโยบายการคลังควรดำเนินการสอดประสานกัน โดยต้องมีการพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าเราจะดูแลเสถียรภาพ แต่ไมต้องไม่ละเลยหากเห็นจีดีพีขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพที่ควรเป็น ซึ่งเป้าหมายที่ต้องการคือ จีดีพีขยายตัวได้ 5% ทุกปี 


“อยากให้เชื่อมั่นว่า เราเป็นมืออาชีพของกระทรวงคลัง จะรักษาเสถียรภาพการคลังอย่างเหมาะสม เราพร้อมรับฟัง เพื่อให้นโยบายออกมาสมบูรณ์แบบ เหมาะสมกับประเทศให้มากที่สุด” นายลวรณ กล่าว 


อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าว จะต้องเปิดให้ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย อายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 56 ล้านคน ลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัว ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่ได้ประโยชน์จะอยู่ที่เท่าไรนั้น จะต้องติดตามอีกครั้ง