posttoday

ทายาทรุ่น 3 เร่งเครื่องธุรกิจหมวกกันน็อค พร้อมปั้นแบรนด์ส่งเวทีโลก

06 ตุลาคม 2566

จากธุรกิจครอบครัวที่อาม่าพลิกวิกฤติหลังโรงงานไฟไหม้ จนต้องแบกหนี้กว่า 30 ล้านบาท สู่ธุรกิจหมวกกันน็อค โดยมีทายาทรุ่น 3 อย่างนริศ เมธียนต์พิริยะมาสานภารกิจ สร้างแบรนด์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มุ่งปั้นผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะตลาดระดับกลาง หวังเร่งเครื่องส่งออกสู่เวทีโลก

ก้าวย่างของธุรกิจบริษัท ป.ณรงค์แอนด์พี.เอ็น.ไอ. จำกัด ก่อตัวขึ้นจากโรงงานฉีดพลาสติกเมื่อราว 50 ปีก่อนที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของอากง (คุณปู่) กระทั่งเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานทำให้ธุรกิจแทบล้ม จนครอบครัวต้องแบกหนี้กว่า 30 ล้านบาทเมื่อราว 30 ปีก่อนเหลืองทิ้งไว้เพียงโมเดลจักรยานพลาสติก 1 ชิ้น ที่ไปต่อยอดผลิตสินค้าโดยญาติแล้วส่งมาให้ทางครอบครัวจำหน่าย กระทั่งค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวจากคำบอกเล่าของนริศ เมธียนต์พิริยะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ป.ณรงค์แอนด์พี.เอ็น.ไอ.ฯ 

ด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าเกือบจะล้มละลาย แต่ยังสามารถผ่อนชำระหนี้ให้ธนาคารได้อยู่เรื่อย ๆ จนปี 2538-2539 อาม่า (คุณย่า) เล็งเห็นว่าในเมืองไทยยังไม่มีใครผลิตหมวกกันน็อควางขาย ก็เลยนำเข้าโมเดลหมวกกันน็อคจากต่างประเทศและเริ่มธุรกิจขึ้นในตอนนั้น พอดีกับเป็นช่วงที่รัฐบาลเขาประกาศการใช้ มอก. 2539 และกฎหมาเริ่มบังคับให้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อค จึงเป็นจังหวะที่ทำให้ธุรกิจบูมและเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้กิจการของครอบครัวยืนได้อย่างมั่นคง

นริศ เมธียนต์พิริยะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ป.ณรงค์แอนด์พี.เอ็น.ไอ. จำกัด

ต่อมากิจการได้พัฒนาจนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง หลังทายาทรุ่น 2 คือณรงค์ เมธียนต์พิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ป.ณรงค์แอนด์พี.เอ็น.ไอ. จำกัด (พ่อของนริศ) ซึ่งผ่านการศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ได้นำประสบการณ์และ connection มาขยายภาพกิจการให้เติบโต

โดยเฉพาะก่อตั้งกิจการร่วมค้า ACS กับแบรนด์หมวกกันน็อค SHARK จากประเทศฝรั่งเศส ที่ทั้งทำโรงงานผลิตหมวกกันน็อคประเภทไฟเบอร์กลาสกับคาร์บอนที่ระยอง เพื่อส่งออกไปขายทั่วโลก และยังเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ SHARK ในเมืองไทย โดยเริ่มแรกทั้งสองฝั่งต่างถือหุ้นที่อัตรา 50:50 แต่ต่อมากทางฝรั่งเศสขอซื้อหุ้นคืน ทำให้ทางครอบครัวได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือราว 20% ในปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้นหลังเริ่มนำนวัตกรรมจากญี่ปุ่นมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้ในยุคของรุ่น 2 จึงเริ่มสร้างแบรนด์หมวกกันน็อคของบริษัทในชื่อ AVEX เมื่อ 30 ปีก่อน พร้อมกับริเริ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์หมวกกันน็อคของญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่ง (หยุดดำเนินธุรกิจไปแล้ว) 

ขณะที่ช่วงเวลาของผู้บริหารไฟแรงอย่างนริศเริ่มขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ที่เขาเล็งเห็นโอกาสและความต้องการผลิตภัณฑ์หมวกกันน็อคแนววินเทจ หลังได้ไปสำรวจตลาดและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ในหลายประเทศ  และในตอนนั้นยังไม่มีผู้เล่นในเมืองไทยริเริ่มมาก่อน จึงนำไปสู่การสร้างสรรค์แบรนด์ ALTRAX ขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แแล้ว 

ทายาทรุ่น 3 เร่งเครื่องธุรกิจหมวกกันน็อค พร้อมปั้นแบรนด์ส่งเวทีโลก

แพลตฟอร์มออนไลน์สร้างแบรนด์

กระทั่งปัจจุบัน บริษัท ป.ณรงค์แอนด์พี.เอ็น.ไอ. ฯ ที่บริหารโดยทายาทรุ่น 3 ยังยืนหยัดในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายหมวกกันน็อค ภายใต้แบรนด์ AVEX และ ALTRAX รวมถึงให้บริการรับจ้างผลิตหมวกกันน็อค OEM ให้กับแบรนด์ค่ายรถมอเตอร์ไซด์ เช่นเดียวกับที่เป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายหมวกกันน็อค SHARK แบรนด์ระดับโลกจากประเทศฝรั่งเศสด้วย

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์หมวกกันน็อคของบริษัท จึงเน้นความพิถีพิถันในการผลิตทุกขั้นตอนด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย แต่มีการควบคุมคุณภาพด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญ ตามมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9001 VERSION 2015 ทั้งระบบ ตลอดจนได้รับมาตราฐาน มอก. 369-2539 จากสำนักงานมาตราฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รวมถึงมาตราฐาน S. MARK จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ทั่วโลกให้การยอมรับในด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยชั้นสูง อีกทั้งเน้นออกแบบด้วยรูปทรงที่สวยงามถูกหลักพลศาสตร์ เพื่อให้สวมใส่กระชับและแน่นสบาย

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทตอนนี้จะมาจากแบรนด์ของบริษัทเองเป็นหลักราว 50% อีก 35% จาก OEM และประมาณ 15% จากธุรกิจในส่วนของ SHARK

จากที่นริศค้นพบว่า แม้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะมียอดขายที่ดี แต่แบรนด์  AVEX และ ALTRAX ที่วางขายมาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือมี Brand awareness เป็นที่จดจำหรือแพร่หลายเท่าที่ควร ดังนั้นราว 5 ปีก่อนหลังจากที่นริศเริ่มเข้ามาบริหารกิจการอย่างจริงจังมากขึ้น จึงเริ่มรุกหนักในเรื่องการตลาดและสร้างแบรนด์ เพื่อต้องการเสริมคุณค่าและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์  

โดยให้น้ำหนักการทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้ง Facebook AVEX หมวกกันน็อค และ TikTok avexhelmets ตลอดจนนำผลิตภัณฑ์ไปขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada ด้วย 

ญาติของผมที่เก่งเรื่องการตลาดออนไลน์มาช่วยดูแลเรื่องนี้ จึงถือว่าเราเป็นแบรนด์หมวกกันน็อครายแรก ๆ เลยที่ทำการตลาดและขายบน TikTok ซึ่งประสบความสำเร็จมากทั้งยอดคนติดตาม ยอดไลค์ และยอดขาย

ส่งออกสู่เวทีโลก

ในฐานะทายาทรุ่น 3 นริศมีฝันใหญ่ที่ต้องการเร่งเครื่องให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีโอกาสส่งออกไปวางจำหน่ายทั่วโลกภายในเวลา 10 ปีจากนี้ ซึ่งด้วยอุปสรรคในเรื่องต้นทุนค่าขนส่งที่ค่อนข้างสูง จึงเลือกมุ่งพัฒนาแบรนด์ให้ที่เป็นที่ต้องการสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยการสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบ จนรู้สึกพึงพอใจและยอมรับที่จะซื้อหมวกกันน็อคในราคาสูงขึ้นได้

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดทั่วโลก โดยแม้มีราคาซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับตลาดในไทย แต่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ หรือแบรนด์ท้องถิ่นของแต่ละประเทศได้ จึงต้องใช้กลยุทธ์สื่อสารการตลาดและมีแผนการตลาดที่กระตุ้นชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์

ผมอยากให้หนึ่งในแบรนด์ของเรา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนเอื้อมถึง สามารถส่งออกได้ทั่วโลกภายใน 10 ปี จากที่ปัจจุบันเรายังส่งออกไปถึงแค่ตลาดประเทศเพื่อนบ้านหรือ CLMV เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลังผ่านช่วงโควิดแพร่ระบาดมา พบว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทในตลาดเพื่อนบ้านเริ่มซบเซาลงมากเหลือเพียงเดือนละไม่ถึง 1,000 ใบ จากเดิมที่เดือนละ 2,000 ใบ เพราะกำลังซื้อหดหายไปทั้งจากคนมีภาระหนี้สูงขึ้นและจากที่รายได้หายไปหรือลดลงกว่าเดิม เช่นเดียวกับในเมืองไทยเองก็ยอดขายตกลงไปถึงราว 70% แต่ในปีนี้ก็เริ่มมีทิศทางฟื้นขึ้นบ้างแม้ยังไม่เท่าช่วงก่อนโควิดก็ตาม 

แต่สำหรับแผนระยะอันใกล้นี้ นริศวางแผนจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเจาะตลาดหมวกกันน็อคระดับกลาง (ตั้งแต่ราคา 1,000-2,000 บาทต่อใบ)  ซึ่งตั้งเป้าจะเริ่มวางจำหน่ายภายในปีหน้า 

ทายาทรุ่น 3 เร่งเครื่องธุรกิจหมวกกันน็อค พร้อมปั้นแบรนด์ส่งเวทีโลก

ในแง่การบริหารจัดการองค์กร นริศเล่าว่าเขาเริ่มนำ robot มาทดแทนแรงงานคนในกระบวนการผลิตบางส่วนหรือประมาณ 20%  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ แต่ด้วยกระบวนการผลิตหมวกกันน็อคจะมีขั้นตอนที่ต้องใช้ฝีมือคนค่อนข้างมาก จึงยังต้องพึ่งพาทักษะของพนักงานเป็นหลักก่อน 

หมวกกันน็อคเป็นงาน hand craft ไม่เชิงเป็นงาน mass product โดยเฉพาะพวกลวดลายกราฟฟิกทั้งหลายเป็นฝืมือของพนักงานล้วน ๆ" 

ถอดบทเรียน Smart SME
ด้วยธุรกิจหมวกกันน็อคใช้แรงงานฝีมือในการผลิตถึง 80% ในฐานะที่นริศเป็นทายาทของธุรกิจ SME จึงให้ความเห็นถึงประเด็นเรื่องการดูแลพนักงาน ที่พบว่าผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่มักมองข้ามหรือให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานน้อยเกินไป ทั้งเรื่องความปลอดภัย สุขภาพ และความมั่นคงทางอาชีพการงาน เพราะมองว่าหากเจ้าของหรือผู้บริหารไม่ดูแลให้ดี หากวันหนึ่งพนักงานได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าจากบริษัทอื่นก็คงตัดสินใจลาออกไป ซึ่งย่อมทำให้บริษัทเสียหายจากการสูญเสียแรงงานฝีมือที่ใช้เวลาฝึกฝนมานาน รวมถึงทักษะและความรู้อื่น ๆ ก็ออกไปจากบริษัทด้วย 

อย่างไรก็ตามนริศย้ำว่าที่บริษัทจัดการเกี่ยวกับการดูแลพนักงานกว่า 200 ชีวิตได้ดี เพราะมีอัตราการลาออกของพนักงานต่ำมาก และมีหลาย ๆ คนที่ทำงานกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อก็ยังอยู่จนถึงวันนี้ โดยเฉพาะพนักงานที่อยู่ในไลน์ผลิต ต้องดูแลให้เขาทำงานแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่รู้สึกว่าทำแล้วจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือต้องบาดเจ็บ เพราะงานหมวกกันน็อคใช้สารเคมีและอุปกรณ์ที่อันตรายด้วย 

แม้เราจะเป็น family business แต่มองว่าการดูแลพนักงานให้เขาอยู่กับเรานั้นคุ้มค่ามาก เพราะหากเราดูแลไม่ดี แล้วเขาออกไปแล้วย่อมเสียหายมากกว่า จึงต้องพยายามที่จะรักษาเขาไว้

ทายาทรุ่น 3 เร่งเครื่องธุรกิจหมวกกันน็อค พร้อมปั้นแบรนด์ส่งเวทีโลก

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025