“ไทยเบฟ” ทุ่มงบ 7,000 ล้าน รุกต่างประเทศ เจาะตลาดเบียร์กัมพูชา
“ไทยเบฟ” ทุ่มลงทุน 7,000 ล้านบาท รุกต่างประเทศ แบ่งงบ 4,000 ล้านบาท ลุยสร้างโรงผลิตเบียร์กัมพูชา หลังเติบโตสูง คงแผนนำ BeerCo เข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์ รอดูสภาวะตลาดเหมาะสม โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกปี 66 รายได้โต 3.8% แตะ 215,893 ล้านบาท
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยเบฟ เปิดเผยว่า ไทยเบฟวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ไม่รวมงบในการซื้อและควบรวบกิจการ (M&A)
โดยงบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ใช้สำหรับสร้างโรงงานผลิตเบียร์ในกัมพูชา เนื่องจากเห็นการเติบโต และกัมพูชา เป็น 1 ใน Strategic Market ทำให้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนดังกล่าว จากเดิมที่เป็นรูปแบบการส่งออกไปยังตลาดกัมพูชา นอกจากนี้ ได้ศึกษาการเข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว เพิ่มเติมภายในปี 2567 ซึ่ง สปป.ลาว และกัมพูชา มีส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม
ส่วนการเข้าไปขยายตลาดในจีน เป็นการเข้าไปเพื่อเรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งสภาพตลาด การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โลจิสติกส์ รูปแบบการบริหารจัดการ โดยยังไม่มีการลงทุนในรูปแบบ M&A แต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันได้ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ทำธุรกิจสุราพรีเมียม ในมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มเติมจากเดิมที่มีโรงงานสุราขาวอยู่ในมณฑลยูนนาน
ทั้งนี้ ไทยเบฟมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ในการเสริมแกร่งให้กับตราสินค้าและสถานะในตลาดสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะเดียวกัน ยังดำเนินมาตรการบริหารอัตรากำไรอย่างรอบคอบ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น พร้อมทั้งรักษาผลกำไรสุทธิและส่วนแบ่งตลาด
ขณะที่ยังคงแผนการนำธุรกิจเบียร์ (BeerCo) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยรอดูสภาวะตลาดที่เหมาะสม
นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา กล่าวว่า ธุรกิจสุรายังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่มั่นคง ในประเทศไทย โดยได้วางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจตั้งแต่ก่อนที่ตลาดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง รวมถึงการเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าหลักของเราอย่างรวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม และเบลนด์ 285 ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยความพยายามดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มสามารถคงตำแหน่งผู้นำในตลาดสุราขาวและสุราสีไว้ได้
ส่วนในเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ ยังคงรักษาตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งไว้ได้แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาด โดยคาดว่าอุปสงค์ต่อสินค้าและการเติบโตของธุรกิจจะยังคงดีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาสร้างโรงกลั่นอีก 1 โรง
สำหรับตลาดต่างประเทศ เดินหน้าขยายกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจำหน่ายในต่างประเทศ ผ่านการเข้าซื้อธุรกิจลาร์เซน คอนญัก (Larsen Cognac) และคาร์โดรนา ดิสทิลเลอรี่ (Cardrona Distillery) โดยการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของกลุ่มในการเข้าสู่ตลาดคอนญักและตลาดสุราโลกใหม่ (New World Spirits) ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มตราสินค้าสุราที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมาก
นายทรงวิทย์ ศรีธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขยายการเติบโตของธุรกิจเบียร์ประเทศไทยและก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาด จึงมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การมุ่งมั่นเสริมแกร่งทางการค้าให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ช้างผ่านกลยุทธ์ “Commercial Leadership” โดยเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคผ่านแคมเปญต่างๆ ที่ต่อยอดมาจากความรักที่ผู้บริโภคมีต่อตราสินค้า การถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน “มิตรภาพ ฟุตบอล และดนตรี” ช่วยเสริมสร้างความใกล้ชิดและการมีส่วนร่วมไปจนถึงจุดขาย
นอกจากนี้ ยังได้ทำงานร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกลุ่มบริษัทไทยเบฟ เพื่อผนึกกำลังในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายการกระจายสินค้าและช่องทางการจำหน่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงตราสินค้า
ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าเสริมสร้างตราสินค้าผ่านกลยุทธ์ “Winning Brand Portfolio” และพัฒนาสินค้าที่โดดเด่นภายใต้ตราสินค้าช้าง รวมทั้งได้ดำเนินกลยุทธ์ “Cost Competitiveness” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การลดต้นทุนในการผลิตเบียร์ การจัดสรรทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทาน การลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย และการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตซึ่งส่งผลให้มีอัตรายอดขายต่อจำนวนพนักงาน (Net Sales to Headcount ratio) ที่ดีขึ้น
นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซาเบโก้ กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม สร้างทีมขายมืออาชีพ และเสริมแกร่งกลุ่มตราสินค้า Winning Brand Portfolio โดยได้ดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อยกระดับ Bia Saigon ในฐานะความภาคภูมิใจของเวียดนาม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโดยรวม ซาเบโก้มุ่งเน้นการขยายธุรกิจ พัฒนากลุ่มตราสินค้า และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ซาเบโก้เสริมสร้างความเป็นเลิศด้านการผลิตและใช้มาตรการบริหารต้นทุนที่เข้มงวดเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายและรักษาผลกำไรของบริษัท อีกทั้งยังมุ่งมั่นเดินหน้าผนวกเครือข่ายโรงเบียร์ของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการบริหารต้นทุน ด้วยแผนงาน SABECO 4.0 ซึ่งได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้เร่งเดินหน้าขยายการเติบโต ภายใต้ 3 แนวทางสำคัญ คือ การสานพลังของแบรนด์ปั้นพอร์ตสุดแกร่ง (Brand Portfolio Management) การเร่งสปีดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในทุกมิติ (Speed for the Growth) และการเดินหน้าขยายตลาด (Expand to New Market)
นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทดำเนินกลยุทธ์เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจอาหาร ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาใหม่ และเพิ่มการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม รองรับการที่ผู้บริโภคชาวไทยกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูงกันอีกครั้ง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ในขณะนี้การบริโภคภายในร้านเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19
โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอาหารในปีนี้ คือ การเจาะตลาดให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มจำนวนสาขาร้านอาหารของกลุ่มไทยเบฟ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านอาหารและผลิตภัณฑ์โปรดได้โดยง่ายในทุกพื้นที่ ปัจจุบันไทยเบฟมีร้านอาหารทั้งหมด 771 ร้านในประเทศไทยแบ่งเป็น KFC 440 สาขา โออิชิ 278 สาขา และอื่นๆ 53 สาขา ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเปิดเพิ่มทั้งสิ้น 43 สาขา
บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการเติบโตของยอดขายของร้านสาขาเดิมด้วยการรังสรรค์เมนูใหม่และจัดกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลายสำหรับทุกร้านอาหาร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการบ่อยครั้งขึ้น ในขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นเสริมสร้างพื้นฐานของธุรกิจอาหารให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านบุคลากร การดำเนินงาน เทคโนโลยี และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน พร้อมทั้งส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนผ่านการดำเนินโครงการลดขยะอาหารจากร้านในเครือ เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดขยะอาหาร รวมถึงโครงการบริจาคอาหารส่วนเกินเพื่อช่วยเหลือชุมชนต่างๆ อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ต.ค.2565-มิ.ย.2566) ไทยเบฟมีรายได้จากการขาย 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 37,765 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แม้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ EBITDA ลดลงดังกล่าว
กลุ่มธุรกิจสุราในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 93,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ปริมาณขายรวมจะลดลง 3.5% จากปีก่อน โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 23,763 ล้านบาท
ธุรกิจเบียร์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขายรวม 93,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าปริมาณขายรวมจะลดลง 5.2% ส่วน EBITDA ลดลง 19.8% เป็น 10,783 ล้านบาท
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 14,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 8.7 โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 1,773 ล้านบาท
ธุรกิจอาหาร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 14,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน-ขณะที่ EBITDA ลดลง 8.4% เป็น 1,446 ล้านบาท


