posttoday

Backbase บุกตลาด Virtual Bank ไทย เผยอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารในไทย

23 สิงหาคม 2566

Backbase ฟินเทค สัญชาติ ดัตช์ บุกตลาด Virtual Bank ไทย ชูจุดเด่นแพลตฟอร์มช่วยธนาคารขยายนวัตกรรมบริการรวดเร็ว ขณะที่ไอดีซีเผย 3 อุปสรรค การลดดาวน์ไทม์ของระบบ - ความเสี่ยงในการดำเนินงานจากการย้ายระบบ และโครงสร้างระบบยุคเก่า ขัดขวางดิจิทัลทรานส์ฟอร์มภาคธนาคาร

นายฤทธี ดัตตา  รองประธาน ภูมิภาคเอเชีย Backbase  กล่าวว่า Backbase เป็นบริษัทฟินเทคระดับยูนิคอร์นที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนส่วนบุคคล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2546 ในอัมสเตอร์ดัม (สำนักงานใหญ่ระดับโลก) โดยมีสำนักงานระดับภูมิภาคทั้งในสิงคโปร์ (สำนักงานใหญ่เอเชียแปซิฟิก) แอตแลนตา (สำนักงานใหญ่อเมริกา) และดำเนินกิจการในออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร

Backbase ได้พัฒนาแพลตฟอร์มธนาคารที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement Banking) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ธนาคารในการเดินหน้าสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เริ่มตั้งแต่การแนะนำบริการแก่ลูกค้า ไปจนถึงการให้บริการ การสร้างความภักดี และการอนุมัติสินเชื่อ ทั้งหมดจัดการได้แบบไร้รอยต่อภายใต้แพลตฟอร์มระบบเปิดหนึ่งเดียวด้วยแอปที่พร้อมใช้งาน 

ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้ในทุกด้าน แพลตฟอร์มธนาคารที่สร้างการมีส่วนร่วมของเราพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ และรองรับการเชื่อมต่อกับระบบหลักที่มีอยู่เดิมของธนาคารได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมาพร้อมฟินเทคล่าสุดในตัวเพื่อให้สถาบันการเงินสามารถขยายบริการด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย

Backbase บุกตลาด Virtual Bank ไทย เผยอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารในไทย

ปัจจุบันมีสถาบันการเงินทั่วโลกกว่า 120 แห่ง ที่ใช้แพลตฟอร์มธนาคารที่สร้างการมีส่วนร่วมของ Backbase เฉพาะในเอเชียแปซิฟิกมีลูกค้าที่ Backbase ดูแลหลายราย เช่น ABBANK, BDO Unibank, Bank of the Philippine Islands, EastWest Bank, HDFC, IDFC First, JudoBank, OCB, Techcombank, TPBank และ UBank

นายฤทธี กล่าวว่า ปีนี้ Backbase โฟกัสที่ตลาดประเทศไทยอย่างจริงจัง จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังร่างกฎระเบียบในการออกใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งคาดว่าผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับใบอนุญาตภายในช่วงกลางปี 2567

นั่นหมายถึงสถาบันการเงินและบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในภาคการเงินจะมีเวลาประมาณ 1 ปีครึ่งในการเปิดตัวบริการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการด้านการเงินหรือเข้าถึงได้เพียงบางส่วน โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

ดังนั้นแพลตฟอร์มธนาคารที่สร้างการมีส่วนร่วมโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับผู้เล่นในตลาดการเงิน ในการตอบสนองความต้องการแก่กลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารหรือได้รับเครดิตมาก่อน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความราบรื่นในการให้บริการ 
 

เราคุยกับธนาคารไทยแล้ว 2-3 แห่ง ในการทำระบบให้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

นายฤทธี กล่าวว่า การทำ Virtual Bank ที่ประสบความสำเร็จพบว่า ทั่วโลกยังมีจำนวนไม่มาก แม้การให้บริการในประเทศไทยแบบไลน์แบงก์ที่เหมือนเป็น Virtual Bank แต่ก็ยังพบว่ายังมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงดิจิทัลได้

ทำอย่างไร Virtual Bank ของประเทศไทยจะสามารถให้บริการเข้าถึงทุกกลุ่ม เป็นทั้ง Virtual Bank และ เพย์เม้นท์ ขณะที่ธนาคารเองก็ต้องคำนึงถึงงบประมาณในการดำเนินการด้วย

หากจะยกตัวอย่างธนาคารที่ประสบความสำเร็จในทั่วโลก ขณะนี้คือ  JudoBank ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากเลือกเทคโนโลยีในการลงทุนถูกต้อง รวมถึงเลือกเซกเม้นท์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ทำให้ Virtual Bank มีความแตกต่างจากธนาคารแบบดั้งเดิม

Backbase บุกตลาด Virtual Bank ไทย เผยอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารในไทย

ด้านนายแอชิซ คาคาร์  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยประจำเอเชียแปซิฟิกของ IDC กล่าวว่า การพัฒนาระบบด้วยทีมงานภายในเคยเป็นกลยุทธ์มาตรฐานของธนาคารหลายแห่ง แต่ไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับระยะเวลาที่บีบรัดและการขยายบริการให้รองรับการแข่งขันได้มากขึ้น

จุดเปราะบางที่ทำให้ทีมพัฒนาภายในล้มเหลวก็คือ ความซับซ้อนที่เกิดจากจำนวนระดับชั้นและช่องทางข้อมูลอันมหาศาล ตลอดจนการผสานรวมระบบทั้งฝั่งเข้าและออกเพื่อการรองรับทั้งระบบดั้งเดิมและระบบยุคใหม่ซึ่งต้องจัดการและทำงานผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด

งานวิจัยจากข้อมูลสรุปจาก IDC ยังเปิดเผยด้วยว่า แนวทาง "การรับมาใช้ควบคู่กับการพัฒนาเอง" ถือเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงสำหรับธนาคารหลายแห่งเพื่อเร่งการเปิดให้บริการสู่ตลาด สร้างความแตกต่างในจุดที่สำคัญแทนที่จะพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก ซึ่งการนำแพลตฟอร์มที่รองรับการทำงานร่วมกันและสามารถพัฒนาต่อยอดได้มาใช้งาน 

ทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 40% โดยใช้เวลาในการเปิดตัวแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัลที่สร้างการมีส่วนร่วมเพียง 11 เดือน จากโดยทั่วไปที่ต้องใช้เวลาใน "การพัฒนาเอง" ถึง 20 เดือน นอกจากนี้แนวคิด "การรับมาใช้ควบคู่กับการพัฒนาเอง" ยังได้รับการยอมรับว่ามีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าแนวทาง "การพัฒนาเอง" ด้วยทีมพัฒนาภายในแบบเดิมถึง 2.3 เท่า

กรณีศึกษาจำนวนมากในไทยเปิดเผยว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มที่สร้างการมีส่วนร่วมใช้เวลาราว 11 ถึง 12 เดือน ขณะที่แนวทางการรับมาใช้ควบคู่กับการพัฒนาเองจะใช้เวลาเพียงราว 8 เดือนเท่านั้น ทำให้สามารถเปิดให้บริการสู่ตลาดได้เร็วขึ้นถึง 25% 

สำหรับอุปสรรคสำคัญ 3 ประการที่บริษัทต่างๆ ในไทยต้องเผชิญเกี่ยวกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน คือ การลดดาวน์ไทม์ของระบบ (61%) ความเสี่ยงในการดำเนินงานอันเนื่องจากการย้ายระบบ (58%) และโครงสร้างระบบยุคเก่า (48%) 

แม้จะมีการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาตั้งแต่ช่วงปี 2543 เป็นต้นมาก็ตาม ธนาคารในเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากยังเดินหน้าไปไม่มาก และไม่สามารถใช้ประโยชน์และสร้างการมีส่วนร่วมแก่ลูกค้าดิจิทัลได้ในแบบที่ต้องการ

รายงานข้อมูลสรุปจาก IDC เผยให้เห็นการขาดความเชื่อมโยงระหว่างธนาคารและลูกค้า โดยผลิตภัณฑ์และข้อเสนอต่างๆ ของธนาคารส่วนใหญ่เป็นแบบ "me-too" หรือทำตามกัน และยังเป็นไปแบบมีข้อจำกัด ลูกค้าต่างพบอุปสรรคในการเข้าถึงบริการอันหลากหลายผ่าน interface ที่แตกต่างกัน ขาดมุมมองผลิตภัณฑ์และบริการในภาพรวม และมีกระบวนการใช้งานที่ยุ่งยากวุ่นวาย 

ดังเห็นได้จากการขาดระบบอนุมัติที่ฉับไว กระบวนการดิจิทัลเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น ขณะที่การมอบประสบการณ์แบบส่วนตัว การแบ่งกลุ่มลูกค้า หรือกระทั่งการนำเสนอโปรโมชันตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า หรือตามช่วงเวลาเฉพาะและตามเป้าหมายต่างๆ นั้นก็ไม่เข้าเป้า

ขณะเดียวกันระบบงานส่วนหลังบ้านก็ต้องเผชิญกับภาระอันหนักหน่วงเพราะขาดระบบผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับฝ่ายบริการลูกค้า ทำให้ลูกค้าต้องให้ข้อมูลซ้ำซากแก่แผนกต่างๆ เพราะไม่ได้มองลูกค้าภายใต้มิติหนึ่งเดียวแบบ 360 องศา

ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากการที่ธนาคารทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลไปกับการสร้างแพลตฟอร์มธนาคาร แทนที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างเส้นทางและประสบการณ์แก่ลูกค้าที่แตกต่างออกไป 

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้