posttoday

คลัง ปัดจ่อเสนอรัฐบาลใหม่ ตัดเบื้ยผู้สูงอายุคนรวย

08 สิงหาคม 2566

ก.คลัง ย้ำชัดไม่มีแนวคิดเสนอรัฐบาลใหม่ ตัดเบี้ยผู้สูงอายุที่มีฐานะดี เพื่อลดภาระการคลังระยะยาว ชี้เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทราบดีส่งผลกระทบ และซ้ำเติมประชาชน หลังมีกระแสข่าวมวลชน 3 เครื่อข่าย เตรียมบุกค้าน พรุ่งนี้(9 ส.ค.66)

จากที่มีกระแสข่าวว่า เวลา 9.00 น. วันที่ 9 ส.ค.66 กลุ่มเครือข่ายสลัม 4 ภาค ,เครือข่าย ปชช.เพื่อรัฐสวัสดิการ ,เครือข่าย We Fair เตรียมเดินทางไปยื่นหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อคัดค้าน กรณีที่ กระทรวงการเตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่ ตัดงบประมาณสำหรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า 600-1,000 บาท เป็นการให้เฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุถูกตัดสิทธิ์กว่า 6 ล้านคน นั้น ล่าสุด

 

รายงานข่าวจาก กระทรวงการคลัง ระบุว่า กระทรวงฯ ขอชี้แจงประเด็นที่มีข่าวลือ และส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์ว่า กระทรวงการคลังจะมีการเสนอตัดสิทธิเบี้ยยังชีพของประชาชนนั้น กระทรวงการคลัง ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง กระทรวงการคลังไม่ได้มีแนวคิดที่จะตัดสิทธิดังกล่าว เนื่องจากทราบดีว่าจะส่งผลกระทบและเป็นการซ้ำเติมประชาชน 

 

ทั้งนี้ ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการตีความที่คลาดเคลื่อน โดยแนวคิดที่มีการเสนอให้ทบทวนผู้ได้รับสิทธิเบี้ยคนชรา เฉพาะในกลุ่มที่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวย และไม่ได้มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเบี้ยคนชราในการดำรงชีพ เพื่อนำเงินส่วนต่างที่จะได้มาช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยนั้น เป็นเพียงข้อเสนอในเชิงวิชาการที่มีการเสนอเป็นการภายในเท่านั้น หากจะมีการดำเนินการในอนาคต จะต้องมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยหรือมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาล

 

นอกจากนี้ ในส่วนของการดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อย  ล่าสุดกระทรวงการคลังยังได้มีการขยายสิทธิการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มขึ้นจากเดิม ที่สามารถใช้ได้เพียง ขสมก. บขส.  BTS/MRT และรถไฟ โดยเพิ่มให้สามารถใช้สิทธิโดยสารรถเอกชนร่วม ขสมก. รถเอกชน และส่วนราชการกรุงเทพมหานคร  รถเอกชนร่วม บขส. และรถเอกชน รถสองแถวรับจ้าง และเรือโดยสารสาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้ประกอบการระบบขนส่งสาธารณะแต่ละประเภทมาสมัครเข้าร่วมเป็นผู้ให้บริการแก่ผู้มีสิทธิตามโครงการฯ และหากผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะดำเนินการแล้วเสร็จตามขั้นตอน จะสามารถเปิดให้บริการรับชำระเงินจากผู้มีสิทธิตามโครงการฯ ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป (ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด)