posttoday

เปิดอนาคต 10 ปี การยืนยันตัวตนดิจิทัลระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน

30 มิถุนายน 2566

เปิด 4 ฉากทัศน์ อนาคตการยืนยันตัวตนดิจิทัลอีก 10 ปีข้างหน้า การยืนยันตัวตนในโลกจริงและโลกเสมือน ทำให้เกิดการสร้างกฎระเบียบใหม่คู่ขนานกัน

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA  โดย ศูนย์คาดการณ์อนาคต (Foresight Center by ETDA) หรือ ETDA Foresight กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยการคาดการณ์อนาคตอีก 10 ปีของการยืนยันตัวตนทางดิจิทัล 4 ฉากทัศน์ ได้แก่

1."Smart Proof of Existence" ข้อมูลของแต่ละบุคคลจะถูกบรรจุลงในบัตร Smart Card เพื่อใช้ยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันแบบครบวงจร ทั้งการเชื่อมต่อกับบัตรเครดิต การซื้อขายสินค้า หรือการใช้แทนบัตรโตยสารเดินทาง ซึ่งลดขั้นตอนและทรัพยากรที่ไม่จำเป็นลงโดยเฉพาะเอกสารที่เป็นกระดาษ

นอกจากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่าง ๆ แล้ว ในขณะเดียวกันข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในบัตรจะกลายเป็นฐานข้อมูลรายบุคคลเพื่อใช้ในการรับบริการของภาครัฐ เช่น การประกันสุขภาพ เงินประกันสังคม หรือเงินสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ 

ขณะที่ภาคเอกชนเองก็สามารถใช้ประโยชน์ของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ข้อมูลอาชญากรรม และฐานเงินเดือนหรือสวัสดิการ ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ภายใต้เงื่อนไขด้านกฎหมายที่เหมาะสมได้

2."Synergy on Authentication" การพิสูจน์และยืนยันตัวตนไม่จำเป็นต้องอาศัยบัตรหรือสื่อกลางที่จับต้องได้ เพียงอย่างเดียว แต่อาจอยู่ในรูปแบบของ Biometric Chip ที่ฝังอยู่ในร่างกาย หรือข้อมูลทางชีวภาพต่าง ๆ เช่น ม่านตา ลายนิ้วมือ หรือใบหน้า ทำให้การยืนยันตัวตนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงที่ถูกแอบอ้างเพื่อนำไปใช้ประโยชน์น้อยลง 

เปิดอนาคต 10 ปี การยืนยันตัวตนดิจิทัลระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน

โดยข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลกลางที่มีความน่าเชื่อถือ บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่สามารถดึงไปใช้ในกระบวนการของหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ ได้เมื่อผู้เป็นเจ้าของให้ความยินยอม ที่สำคัญไปกว่านั้น มาตรฐานการยืนยันตัวตนจะเป็นระบบระเบียบเดียวกันในระดับนานาชาติ

ทำให้สามารถใช้เอกสารหรือข้อมูลที่ถูกจัดเก็บและเผยแพร่ในรูปแบบเฉพาะประเทศ สามารถนำไปใช้ยืนยันตัวตนในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่ช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของเอกสารดังกล่าวอีกทอดหนึ่ง

3. "All of Us Are Digitized" การพิสูจน์และยืนยันตัวตนของบุคคลเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับด้วยการมีตัวตนดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ความเป็นตัวตนอยู่ในลักษณะที่จับต้องไม่ได้ และเชื่อมโยงกับตัวตนในโลกกายภาพที่ไม่สามารถสวมรอยโดยบุคคลอื่นได้ โดยมีเทคโนโลยีโลกเสมือนเป็นส่วนผลักดันสำคัญให้เกิดพื้นที่ของชุมชนที่ใกล้เคียงกับโลกภายนอก 

อย่างไรก็ตาม ความเป็นตัวตนนี้ไม่ได้ทับซ้อนกับตัวตนในโลกภายนอกทั้งหมด มีความพร่าเลือนทางเพศ ศาสนา และจริยธรรมบางอย่าง เช่น ตัวตนดิจิทัลของผู้ชายอาจอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้หญิงได้ ความไม่กลมกลืนระหว่างโลกทั้งสองนี้เองทำให้เกิดการวางรากฐานกฎระเบียบใหม่ที่คู่ขนานไปกับกฎระเบียบดั้งเดิมที่มีอยู่ ทั้งสิทธิความเป็นเจ้าของ และการกำหนดบทลงโทษเมื่อกระทำความผิด ซึ่งการบังคับใช้อาจเป็นไปได้ทั้งเฉพาะในโลกเสมือนหรือเชื่อมโยงกับโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้ 

ในอนาคตถ้าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นอาจมีกระบวนการเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมบนโลกเสมือน และรับช่วงต่อตัวตนดิจิทัลของบุคคลนั้น ๆ หากตัวตนทางกายภาพได้จากไปแล้ว

4."Battle of My Identity"ในฉากทัศน์นี้ ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยกลายเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ไม่สามารถก้าวเข้าสู่การมีตัวตนดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับตัวตนกายภาพได้อย่างสมบูรณ์ จึงเป็นเหตุให้ตัวตนดังกล่าวอยู่ในลักษณะของ “อวตาร” ของตัวตนจริง และมีมากกว่าหนึ่งตัวตนได้ 

ตัวตนนี้ยังสามารถถูกแย่งชิงหรือโอนย้ายความเป็นเจ้าของได้ จึงอาจก่อให้เกิดช่องว่างในการแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย จนถึงขั้นเกิดตลาดมืดสำหรับการซื้อขายตัวตน หรือปลอมแปลงตัวตนทางดิจิทัล อีกทั้งการสืบสาวหาตัวตนทางกายภาพจากตัวตนดิจิทัลเป็นไปได้ยาก

จึงนำไปสู่การเอื้อให้เกิดการกระทำความผิดบนพื้นที่โลกเสมือน เช่น การฉ้อโกง หรือการคุกคามต่าง ๆ โดยหลีกเลี่ยงการรับผิด เนื่องจากไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้ควบคุมอวตารดังกล่าวได้โดยสมบูรณ์