คลัง มั่นใจ จัดเก็บรายได้ตามเป้า 2.49 ล้านล้านบาท
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ชี้ธนาคารโลก ชมไทยทำนโยบายดูแลเศรษกิจช่วงโควิดเหมาะสม หนุน 7 เดือนแรกงบปี 66 จัดเก็บรายได้อยู่ที่ 7.4% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้า 8.9% มั่นใจทั้งปีได้ตามเป้า 2.49 ล้านล้านบาท พร้อมแนะไทยจัดเก็บรายได้ระยะยาว รับการดูแลผู้สูงอายุพุ่ง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเปิดตัวรายงาน เรื่อง การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย : การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน ซึ่งจัดโดยธนาคารโลก ว่า ผลของการวิเคราะห์จัดทำรายงานการวิเคราะห์ ของธนาคารโลก ปี 2566 ว่า ธนาคารโลกชี้ว่า นโยบายการคลังของไทยในช่วงก่อนโควิดมีความสมเหตุสมผลในการดำเนินนโยบายเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว เมื่อนโยบายมีความเหมาะสม ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย แม้ไทยจะมีรายจ่ายในช่วงโควิดจำนานมาก แต่ถือว่าไม่ได้เยอะที่สุดในโลก ส่งผลทำให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 2 ฉบับ ฉบับแรก 1 ล้านล้านบาท ฉบับที่ 2 อีก 5แสนล้านบาท รวม 1.5 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังมองว่า ไทยสามารถออกโครงการที่มาช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงักจากสถานการณ์โควิดได้ดี อาทิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นนโยบายการโอนเงินเพื่อช่วยเหลือประชานในช่วงที่ยากบาก
รวมทั้ง รัฐบาลยังมีนโยบายฉีดวัคซีนให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ตามความสมัครใจและข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมไว้ครอบคลุมถึง 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ ทำให้การรักษาการใช้จ่ายในประเทศได้ดี ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยก็ฟื้นตัวขึ้นได้ตามลำดับ ไทยจึงประเทศแรกๆที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น กระทรวงการคลังมั่นใจว่า การจัดเก็บรายได้ในปี งบประมาณ 2566 จะสามารถจัดเก็บรายได้เกินเป้าหมายที่อยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท โดยช่วง 7 เดือน (ต.ค. 64-เม.ย. 65) สามารถจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 7.4% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือสูงกว่าเป้า 8.9% และปี 2567 ตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 3% และปี 2570 อยู่ที่ 2.79% ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพี ในปี 2565 อยู่ที่ 61.78% ต่อปี และปี 2567 อยู่ที่ 61.25% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่2-3%-3.5% ต่อปี หรืออาจต่ำกว่าต่ำกว่า 3%
“จะเห็นว่า ปี 2565 มีความชัดเจนว่า การท่องเที่ยวของไทยฟื้นกลับมาก่อนหลายประเทศ ทำให้เรื่องการจัดเก็บรายได้ดีขึ้น จากช่วงปี 2563-2564 เศรษฐกิจหยุดชะงักไป รายได้ก็ไม่เข้าประเทศ พอปี 2565 รายได้ก็เริ่มกลับเข้ามา แสดงให้เห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวแม้ไม่หวือหวา แต่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง" นายอาคมกล่าว
อย่างไรก็ตามในช่วงหลังโควิด ธนาคารโลกระบุว่า ไทยจะต้องดำเนินนโยบายใน 3 ด้าน คือ การจัดเก็บรายได้ในระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และมีการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางมากกว่า นโยบายแจกเงินแบบการเหวี่ยงแห เพราะการจัดสรรงบประมาณต้องการจ่ายไปทุกด้าน โดยให้มุ่งเน้น เรื่อง การแพทย์ และระบบสาธารณะสุข และ 2.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงนี้รัฐบาลก็ได้ทำอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งไทยมีความได้เปรียบมาก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ หรือระบบรถไฟ นอกจากนี้ไทยต้องมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านแรงงาน เช่น มีการอบรมในการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น ตามทิศทางโลกที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการปรุงคุณภาพด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย และ3.การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม
ส่วน กรณีที่การกระทรวงการคลัง ได้ลงนามประกาศกฎกระทรวงกำหนดอัตราพิกัดภาษีสรรพสามิตดีเซลโดยกำหนดที่จะไม่ต่อมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาทต่อลิตรออกไปโดยจะสิ้นสุด 21 ก.ค. 2566 นั้น นายอาคม ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่ เพราะต้องรอดูสถานการณ์รอบด้านอีกระยะจึงค่อยพิจารณากันอีกครั้ง ส่วนรัฐบาลรักษาการจะสามารถพิจารณาต่ออายุโครงการได้หรือไม่ ต้องไปดูกรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญก่อนว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณ ต้องให้กกต.เป็นผู้พิจารณา เพราะมี 2 เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ ที่มีข้อพูกพันไปในรัฐบาลชุดต่อไป
“ตอนนี้ฐานะกองทุนฯก็ปรับตัวดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันก็อยู่ในทิศทางลดลงด้วย และส่วนหนึ่งก็เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของกระทรวงการคลังลดลภาษีให้ 5 บาทต่อลิตร แต่ต่อไปหากราคาน้ำมันต่ำลง กองทุนฯมีฐานะดีขึ้น ค่อยมาพิจาณาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยโนโยบายต้องรอดูอีกหน่อย” นายอาคมกล่าว


