posttoday

ส่อง 2 นโยบายเร่งด่วน ว่าที่ รมว.ดีอีเอส “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”

24 พฤษภาคม 2566

พาส่อง 2 นโยบายเร่งด่วน ทำทันทีของว่าที่ รมว.ดีอีเอส “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” พรรคก้าวไกล ปั้นเว็บแฮคเกอร์สีขาว-เร่งเครื่องใช้งานดิจิทัล ไอดี หวังต่อยอดเข้าถึงสวัสดิการรัฐ และเป็นเครื่องมือกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น

แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่า ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) คนใหม่ จะมาจากพรรคก้าวไกล คือ  “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หรือไม่ แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ได้ออกมาปฏิเสธหรือยอมรับ 

อีกทั้งเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2566 ยังได้สร้างห้อง “ก้าว Geek” เพื่อเป็นคอมมูนิตี้ที่สร้างขึ้นในโปรแกรม Discord ให้เป็นพื้นที่เสนอไอเดีย ระดมสมอง และหาแนวร่วมทำงานเกี่ยวกับนโยบาย และติดตามนโยบายของพรรค โดยแบ่งเป็นห้องต่างๆ ประกอบด้วย รวมพลคนสายเทค, พูดคุยทั่วไป, การเมืองสร้างสรรค์, ครีเอเตอร์สร้างสรรค์, ธุรกิจก้าวหน้า, การศึกษาก้าวไกล เป็นต้น ซึ่งในห้องมีสมาชิกมากกว่าแสนรายแล้ว

นอกจากนี้ยังได้เปิดเผยถึง 2 นโยบายด่วนที่จะทำทันที หากได้เข้ามาเป็นรมว.ดีอีเอส คือ การสร้างชุมชนแฮกเกอร์สีขาว บนเว็บไซต์ Hack.co.th และ การเพิ่มการใช้งานดิจิทัล ไอดี แบบไม่มีต้นทุน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลมีการส่งเสริมผ่านการประกวดมากมาย แต่ไม่ค่อยเห็นการต่อยอดในการทำงาน ขณะที่ดิจิทัล ไอดี นั้น ต้องมีการส่งเสริมให้ร้านค้าเอกชนเล็กๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐได้ฟรี 

เมื่อมี ดิจิทัล ไอดี ประชาชนจะสามารถต่อยอดการรับสวัสดิการภาครัฐได้ บนโลกดิจิทัลได้ ต่อยอดไปถึงการกระจายอำนาจท้องถิ่น กระจายงบประมาณ ด้วยการเปิดให้คนท้องถิ่นเข้ามาประมูลงานรัฐ โดยมีดิจิทัล ไอดีในการยืนยันตัวตนว่าเป็นคนท้องถิ่นจริง 

ย้อนดูนโยบายดิจิทัล ไอดี

สำหรับนโยบาย ดิจิทัล ไอดี หรือ การใช้คิวอาร์โค้ดแทนบัตรประชาชน เริ่มมีการผลักดันขึ้นในปี 2557 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) มีการจัดระเบียบการลงทะเบียนผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ เริ่มจากลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงการยืนยันตัวตนอัตลักษณ์ด้วยการถ่ายรูปใบหน้า ทำให้ฐานข้อมูลของผู้ใช้บริการดีขึ้น ประกอบกับโทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัย 5 ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และไม่ว่าจะเป็นการสมัครใช้บริการ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ล้วนต้องลงทะเบียนด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 

ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะนำเลขหมายมือถือมาเป็น Mobile ID อ้างอิงตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของเบอร์มือถือและเป็นเจ้าของบัตรประชาชนตัวจริง เพื่อให้มีระบบการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ และเป็นการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ หรือบัตรประจำตัวประชาชนจะไม่รั่วไหล และเปิดเผยในที่สาธารณะ

ด้วยเหตุนี้ กสทช. จึงได้เป็นผู้ริเริ่มทำงานร่วมกันในรูปแบบทดลอง ทดสอบระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกค่าย (โอเปอเรเตอร์) ซึ่งเป็นผู้ออก Mobile ID กับภาครัฐ และเอกชนที่ กสทช.คัดเลือกซึ่งเป็นผู้นำ Mobile ID ไปใช้ยืนยันตัวตน โดยเจ้าของเบอร์ต้องไปสมัครและให้โอเปอเรเตอร์ทำให้เท่านั้น ซึ่งเมื่อนำ Mobile ID ไปใช้งาน ระบบจะไปตรวจสอบกับโอเปอเรเตอร์ที่ลงทะเบียนไว้ว่าเป็นคนเดียวกับที่สมัคร Mobile ID ใช้งานหรือไม่ ด้วยวิธีการตรวจสอบอัตลักษณ์ด้วยการเปรียบเทียบใบหน้า ด้วยกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐาน

สำหรับมาตรฐาน Mobile ID ที่ใช้งานนั้น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA เป็นผู้กำหนด ซึ่ง กสทช.และผู้ร่วมโครงการได้พัฒนายูสเคสภายใต้มาตรฐานดังกล่าว หากในอนาคตเมื่อกฎหมายพร้อม และผู้ให้บริการสามารถขอใบอนุญาตจาก ETDA ได้แล้ว กสทช.จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการค่ายมือถือดำเนินธุรกิจต่อไป แต่การริเริ่มของ กสทช. จะมีส่วนช่วยให้มียูสเคสในการทดลองหลากหลาย สุดท้ายเมื่อมีการสร้างยูสเคสมากขึ้น ประชาชนมีการใช้งานคุ้นชินมากขึ้น Mobile ID ก็จะเป็นอีกดิจิทัลไอดีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส คนปัจจุบัน เคยตั้งเป้าดันให้ประชาชนใช้ดิจิทัลไอดี 10 ล้านคนภายในปี 2566 พร้อมจับมือ 6 หน่วยงาน สร้างกรอบการทำงานร่วมกันเพื่อให้ประชาชนใช้ระบบเดียวยืนยันได้ทุกหน่วยงาน อันเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาการถูกสวมรอยจากมิจฉาชีพด้วย

สิ่งที่ทำให้เป้าหมายในปีนี้เป็นไปได้ เนื่องจาก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้พัฒนาระบบการทำ ดิจิทัล ไอดี พร้อมให้บริการประชาชนทุกเขตทั้งแบบออฟไลน์และอนาคตจะสามารถทำได้แบบออนไลน์ ด้วย 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กรมการปกครอง และ กสทช. ที่ทำ ดิจิทัล ไอดี ในกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ มีผู้ใช้งานประมาณหลักแสนคน ขณะที่ ดิจิทัลไอดี กลุ่มธนาคาร ที่ทำโดย บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด มีผู้ใช้ประมาณ 5 ล้านคน

ทว่า ดิจิทัลไอดี ทั้ง 3 แบบ ยังไม่เชื่อมโยงกัน ประชาชนต้องแสดงคิวอาร์โค้ดแยกกันอยู่ ดังนั้นหน้าที่ของกระทรวงดีอีเอส คือต้องทำให้ ดิจิทัล ไอดี ของทุกหน่วยงานเชื่อมโยงกัน ใช้เพียงคิวอาร์โค้ดเดียวก็สามารถยืนยันตัวตนได้ทุกหน่วยงาน

ที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส โดย ETDA ได้จับมือ 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการปกครอง, กรมสรรพากร, สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, สำนักงาน กสทช., บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด จัดทำ “กรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “Digital ID Framework” ขึ้นมา

ทั้งนี้ เพื่อเป็นกรอบแนวทางของประเทศในการบูรณการความร่วมมือและการขับเคลื่อนงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้แผนปฏิบัติการที่จะช่วยเร่งผลักดันให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จ สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการใช้งานของประชาชน ภาคธุรกิจและภาครัฐ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ Digital ID Framework พร้อมจัดทำโครงการและดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบที่กำหนดแล้ว

สำหรับ Digital ID framework ในระยะที่ 1 นี้ มีทั้งหมด 8 กลยุทธ์ ได้แก่ 

1.มี ดิจิทัล ไอดี ที่ครอบคลุม คนไทย นิติบุคคล และคนต่างชาติ พร้อมต่อยอดใช้งานทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 

2.ประชาชน สามารถใช้ ดิจิทัล ไอดี ที่เหมาะสม เข้าถึงบริการออนไลน์ได้ 

3.กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักที่ให้ข้อมูลและบริการ สนับสนุนการพิสูจน์ตัวตนคนไทยและคนต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในไทย

4.ใช้ ดิจิทัล ไอดี ในการทำธุรกรรมของนิติบุคคลเป็นการใช้ ดิจิทัล ไอดี บุคคลธรรมดาของผู้มีอำนาจของนิติบุคคลนั้น ร่วมกับการมอบอำนาจ หากจำเป็น 

5.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานหลักที่ให้ข้อมูลนิติบุคคล สนับสนุนการทำธุรกรรมของนิติบุคคลด้วย ดิจิทัล ไอดี

6.ประชาชน เข้าถึงบริการออนไลน์ของรัฐได้ด้วย ดิจิทัล ไอดี ที่น่าเชื่อถือ โดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวตนซ้ำซ้อน 

7.ETDA ขับเคลื่อนนโยบาย ดิจิทัล ไอดี ในภาพรวม พร้อมพัฒนามาตรฐานกลาง ที่หน่วยงานกำกับแต่ละเซ็กเตอร์สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเซกเตอร์ของตนได้อย่างเหมาะสม 

และ 8. DGA พัฒนาระหว่างรัฐและเอกชนได้

นอกจากนี้ กระทรวงดีอีเอสยังได้เร่งสร้างมาตรฐานกับผู้ให้บริการ ดิจิทัล ไอดี หากต้องการเป็นผู้ให้บริการระบบต้องมาขอใบอนุญาตตาม พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต เพื่อให้มีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานที่ ETDA กำหนด หากไม่มีใบอนุญาตถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย เพื่อทำให้ระบบ ดิจิทัล ไอดี มีความปลอดภัย 

ดังนั้นเชื่อว่า นโยบายดิจิทัลไอดี น่าจะสานต่อได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องการสร้างชุมชนแฮกเกอร์สีขาว แม้ว่าที่ผ่านมาดีอีเอสได้มีการรวบรวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยถึงการทำงานออกมา หากจะมีการเปิดเผยตามนโยบายของว่าที่รมว.ดีอีเอส คนใหม่ นั้น จะทำให้กลุ่มคนแฮกเกอร์สีขาวเพิ่มจำนวนขึ้น หรือไม่ต้องคอยติดตาม

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี