posttoday

เอ็นไอเอ ดึงจิสด้าและภาคธุรกิจอวกาศฝรั่งเศส ปั้นสตาร์ทอัพอวกาศไทย

28 มีนาคม 2566

ดัน “สเปซอีโคโนมี” ประเทศไทย ระดมองค์ความรู้และเครือข่ายพัฒนาวงโคจรสตาร์ทอัพอวกาศไทย ตั้งเป้าภายใน 10 ปี 100 ราย ปั้นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 3แสนล้านบาท

นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า เทคโนโลยีด้านอวกาศเป็นกระแสที่มาแรงและอยู่ในความสนใจของหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยเองก็กำหนดให้กิจการอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องเร่งขับเคลื่อนและพัฒนาเช่นกัน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา NIA ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศรายใหม่ผ่านโครงการ Space Economy: Lifting Off จำนวน 24 ราย ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้น

และขณะนี้ได้เตรียมต่อยอดด้วยการเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทาน ระบบนิเวศด้านอุตสาหกรรมอวกาศและอากาศยานของประเทศ เพื่อผลักดันนโยบายให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างสตาร์ทอัพด้านอวกาศ โดยในปี 2023 นี้ถือเป็นปีสำคัญที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้กำหนดให้เป็น “ปีแห่งนวัตกรรมไทย – ฝรั่งเศส” NIA จึงมองว่า เป็นโอกาสดีที่ไทยจะดึงสตาร์ทอัพจากต่างประเทศมาร่วมเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มมูลค่าธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศรายใหม่ของไทย

พร้อมทั้งดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่มาร่วมลงทุนให้กับสตาร์ทอัพทั้งไทยและต่างประเทศ คล้ายกับโมเดลที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหาร และการเกษตร อย่างโครงการ SPACE-F และ AGrowth ทั้งนี้แต่ละปีคาดว่าจะสามารถผลิตสตาร์ทอัพได้เพิ่มปีละประมาณ 10 ราย

จากแนวทางดังกล่าวจึงเกิดเป็นความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศประเทศไทยระหว่าง NIA GISTDA และ สตาร์เบิร์ส (Starburst) ขึ้น ซึ่งจะพัฒนาระบบนิเวศด้านอุตสาหกรรมอวกาศและอากาศยานของประเทศด้วยการต่อยอดงานวิจัย การพัฒนาบุคลากรของประเทศให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศและอากาศยานในระดับอุตสาหกรรม สร้างโอกาสในเชิงพาณิชย์และการพัฒนาตลาดของสตาร์ทอัพ

ผ่านโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอวกาศและอากาศยาน หรือ F1 ที่นำไปสู่การพัฒนา “เศรษฐกิจอวกาศ” และอุตสาหกรรมอากาศยานและการบิน รวมถึงการจัดทำมาตรการส่งเสริม ประสานงาน และผลักดันนโยบายให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้ได้ 3 แสนล้านบาทในอีก 10 ปี ข้างหน้า

ด้านนายปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังเร่งส่งเสริมและพัฒนากิจการด้านอวกาศและอากาศยานของไทยให้ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศใหม่ โดยการออกแบบและพัฒนาดาวเทียม การทดลองและวิจัยการสำรวจอวกาศ และนวัตกรรมอื่นผ่าน 5 โครงสร้างพื้นฐานที่สามารถพัฒนาต่อยอดจากกิจการด้านอวกาศในไทย ได้แก่

อวกาศเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า อวกาศเพื่อไลฟ์สไตล์ดิจิทัล อวกาศเพื่อรัฐบาลและรัฐบาลเพื่ออวกาศ ศูนย์กลางอาเซียนสำหรับธุรกิจอวกาศแห่งใหม่ และอวกาศสำหรับมนุษยชาติในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งการลงทุน สตาร์ทอัพ สังคม สิ่งแวดล้อม และนโยบาย เพื่อตอกย้ำว่า อวกาศคือเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย มากกว่าการเป็นเพียงเทคโนโลยีที่ไกลตัว

ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเริ่มจากการพัฒนากำลังคน โดยมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทุกคนเชื่อว่าเศรษฐกิจอวกาศใหม่จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงในไทย นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทั่วโลกก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจอวกาศใหม่ไปสู่เวทีโลก

ขณะที่นายฟรองซัว โชปาร์ด ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารสตาร์เบิร์ส กล่าวว่า ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะเกิดโรคระบาดขึ้นทั่วโลก แต่ธุรกิจทางด้านอากาศยานและการบินยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศมีการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้ในสิ่งที่ใกล้ตัว

ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องถึง 8 สาขา ได้แก่ อากาศยานไร้คนขับ ระบบการขนส่งทางอากาศที่ในระดับความสูงต่ำ การบินภูมิภาค ซูเปอร์โซนิค ระบบการส่งอวกาศ ดาวเทียม การสำรวจอวกาศ และระบบป้องกัน จะเห็นได้ว่าการที่วัฏจักรของธุรกิจทางด้านอวกาศ อากาศยานและการบินจะเติบโตได้นั้น ต้องใช้ระยะเวลา เพราะไม่ใช่เป็นแค่การพัฒนาซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว

แต่ยังต้องพัฒนาไปถึงเรื่องของดาวเทียมและอุปกรณ์ที่ส่งไปยังอวกาศ และสิ่งสำคัญคือเงินทุนในการพัฒนาจึงทำให้เราต้องเร่งพัฒนาระบบนิเวศที่ดึงดูดนักลงทุนด้วยเช่นกัน