“กรวัฒน์ เจียรวนนท์” แตกบริษัทรุกผลิตภัณฑ์ GPT บุกตลาดไทย-อาเซียน
เร่งปั้นผลิตภัณฑ์ก้าวสู่ผู้นำในตลาดไทย-อาเซียน ก่อนเข้าสู่ IPO ช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 หวังนำเงินทุนรุกธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายกรวัฒน์ เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Amity กล่าวว่า เทคโนโลยี GPT กำลังพาทุกคนเข้าสู่ยุคใหม่ของความสามารถด้านการประมวลผล (computing capabilities) จึงเชื่อว่าจะเข้ามาพลิกโฉมในหลายๆอุตสาหกรรม ด้วยความสามารถในการอ่านข้อมูลได้จากทุกภาษาและสามารถประมวลและหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการได้ จึงทำให้ช่วยย่นระยะเวลาในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นบริษัทจึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วยเทคโนโลยี GPT เพื่อสร้างความสามารถที่อัจฉริยะขึ้นกับผลิตภัณฑ์เดิมของบริษัทในประเทศไทย ที่มีลูกค้าองค์กรอยู่แล้วประมาณ 50 บริษัท ได้แก่ เอโค่ (Eko) ผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ (automation) และเน้นการสร้างการมีส่วนร่วม (engagement) ภายในองค์กรอันเป็นผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมของ Amity ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แชตบอตที่เรียกว่า แอมิตีบอตส์ (Amity Bots)
“โซลูชันและผลิตภัณฑ์ AI ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี GPT ของ Amity มีเป้าหมายที่จะนำโซลูชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วย GPT รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด อีกทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการโซลูชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วย GPT ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
นายทัชพล ไกรสิงขร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) และผู้ร่วมก่อตั้งของ Amity กล่าวว่า แต่เดิมการทำงานของแชตบอท เจ้าของระบบต้องมีหน้าที่ในการเตรียมคำตอบให้ลูกค้าที่ถามเข้ามา แต่จะไม่สามารถตอบคำถามได้ลึกซึ้งหรือมากไปกว่าสิ่งที่ได้ป้อนคำตอบไว้ หากใช้เทคโนโลยี GPT ระบบจะสามารถไปศึกษาข้อมูลและสรุปตอบให้ได้ลึกและสามารถเชื่อมโยงไปยังบริการอื่นๆของบริษัทนั้นๆได้ด้วย
ยกตัวอย่าง เช่น การขายประกัน หรือ สมัครบัตรเครดิต GPT จะสามารถอ่านดาต้าเบสที่มีได้อย่างมหาศาลและค้นหาคำตอบที่ลูกค้าต้องการได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือการซื้อสินค้า เมื่อลูกค้าตั้งคำถามในระบบเมนูอาหารชนิดหนึ่ง ระบบจะขึ้นรายการวัตถุดิบที่ต้องใช้พร้อมวิธีการทำและเชื่อมโยงไปยังรายการสินค้าให้ซื้อได้ทันที
ทั้งนี้ บริษัทเพิ่งเปิดตัว Amity Bots Plus ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี GPT-3 เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสำหรับบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้งานกับสายการบินนกแอร์
นายกรวัฒน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นบริษัทได้ทยอยลงทุนในผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี AI ที่ขับเคลื่อนด้วย GPT ไปแล้วกว่าพันล้านบาท เพื่อต้องการให้มีผลิตภัณฑ์มากเพียงพอก่อนที่จะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ภายในไตรมาส 3 ปี 2567 สำหรับนำเงินมาลงทุนมาพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
สำหรับสาเหตุที่ต้องการพาบริษัทระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจ SaaS เป็นธุรกิจที่นักลงทุนชอบลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพบว่าบริษัทเกี่ยวกับการให้บริการ SaaS ได้รับความสนใจอย่างมาก ขณะที่ผู้ลงทุนหรือ VC ในไทยไม่ได้สนใจลงทุนกับธุรกิจนี้
ดังนั้นบริษัทจึงแยกธุรกิจต่างประเทศกับในประเทศออกจากกัน 2 บริษัท สำหรับบริษัทในประเทศไทย เน้นทำตลาดไทย และ ประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แบรนด์ใหม่ชื่อ “แอมิตี โซลูชันส์ (Amity Solutions)” ขณะที่ต่างประเทศเน้นผลิตภัณฑ์ Amity Social Cloud เน้นการระดมทุนผ่าน VC เป็นหลัก
จากนี้ไปจะเห็นถึงการแบ่งออกกันอย่างชัดเจนระหว่างธุรกิจของ Amity ที่เป็น “Software Development Kit (SDK) และ Application Program Interface (API)” ที่มีการเติบโตสูงและเน้นขายตลาดโลก กับธุรกิจของ Amity ที่เน้นตลาดไทย
นายกรวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการประเมินตัวเลือก IPO ในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคเพื่อกำหนดขั้นตอนต่อไปของบริษัท อันที่จริงแล้ว Amity Solutions มีเป้าหมายคือจะเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ SaaS ที่เสนอขาย IPO รายแรกของภูมิภาค
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ เน้นสหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังคงดำเนินกิจการแบบเอกชนโดยมีเป้าหมายที่จะจดทะเบียนในแนสแด็ก (NASDAQ) ในอีกมากกว่า 5 ปี ข้างหน้า โดยผลิตภัณฑ์ Amity Social Cloud ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขับเคลื่อนชุมชนดิจิทัล และโซเชียลฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน โดยสามารถ plug-in เข้ากับแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ใดก็ได้
นับตั้งแต่เปิดตัวทั่วโลกเมื่อต้นปี 2564 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรปและอเมริกา โดยมียอดผู้ใช้งานต่อเดือน (monthly active users: MAUs) พุ่งสูงขึ้นจากประมาณ 30,000 รายเมื่อต้นปี 2565 ขึ้นเป็นมากกว่า 1.1 ล้านรายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมีสำนักงานอยู่ในลอนดอน และมิลาน มีลูกค้าเป็นแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและยุโรปหลายสิบแห่งและธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์


