posttoday

สนค. แนะแนวทางปรับตัวรองรับการจัดเก็บภาษีพลาสติก

20 มกราคม 2566

สนค. แนะผู้ส่งออก เตรียมปรับตัวรับการจักเก็บภาษีพลาสติก หลังประเทศคู่ค้าเริ่มเก็บตั้งแต่ปี 64 ขณะที่สหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกพลาสติดอันดับ 1 ของไทย อยู่ระหว่างจัดทำร่างกม. ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศที่ส่งผลต่อการค้าของไทย พบว่า ตั้งแต่ปี 64 มีประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มจัดเก็บภาษีพลาสติก เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change)

 

การจัดเก็บ ภาษีพลาสติก”  (Plastic Tax) หรือ “ภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติก” (Plastic Packaging Tax: PPT) เป็นมาตรการภาษีที่เรียกเก็บเงิน หรือค่าธรรมเนียมจากผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือประเทศสมาชิกที่ผลิต นำเข้า หรือใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและย่อยสลายยาก ทั้งนี้ ไม่รวมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มาจากการรีไซเคิล การจัดเก็บภาษีพลาสติกจะทำให้ต้นทุนของบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือเลือกใช้สินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ซ้ำแทน ท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ปริมาณขยะพลาสติกลดลง ในขณะที่ภาครัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น

 

ปัจจุบัน มีประเทศที่จัดเก็บภาษีพลาสติกแล้ว ได้แก่ สหภาพยุโรป เริ่มจัดเก็บภาษีพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจ่ายภาษีให้กับสหภาพยุโรป ซึ่งคำนวณจากปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 0.8 ยูโรต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศสามารถออกมาตรการภาษีพลาสติกของตนเองแตกต่างกันออกไปได้ อาทิ อิตาลีและสเปนเก็บภาษีพลาสติกจากผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้ซื้อ ซัพพลายเออร์ และผู้นำเข้า ในอัตรา 0.45 ยูโรต่อกิโลกรัม ขณะที่ โปรตุเกสจะเริ่มเก็บภาษีพลาสติกในอัตรา 0.30 ยูโรต่อกิโลกรัม ในปี 2566 สหราชอาณาจักรเริ่มเก็บภาษีบรรจุภัณฑ์พาสติก  ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ย.65 จากผู้ผลิตและผู้นำเข้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลน้อยกว่าร้อยละ 30 ในอัตรา 200 ปอนด์ต่อตัน และฟิลิปปินส์เพิ่งเห็นชอบกฎหมายภาษีถุงพลาสติก (Plastic Bags Tax Act) เมื่อเดือนพ.ย.65 ที่ผ่านมา และในปี 2569 ฟิลิปปินส์จะเริ่มจัดเก็บภาษีจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 100 เปโซฟิลิปปินส์ต่อกิโลกรัม หรือ ประมาณ 1.75 ดอลลาร์ฯ 

 

ในขณะที่สหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาร่างกฎหมาย Reduce Act of 2021 ที่จะจัดเก็บภาษีพลาสติกที่ไม่มีส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิลและบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 0.2 – 0.5 ดอลลาร์ต่อปอนด์

 

ผอ.สนค. ให้ข้อมูลว่า ในปี 2564 ไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก  ไปยังตลาดโลก มูลค่ารวม 140,772.17 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.07% ของมูลการส่งออกรวม ขยายตัว 13.46% สำหรับใน 11 เดือนแรกของปี 2565 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นมูลค่า 146,580.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 14.09% โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรกได้แก่ สหรัฐฯ มีสัดส่วน 19.26% ญี่ปุ่น  16.741% เวียดนาม 5.69% ฟิลิปปินส์ 4.94% และจีน 4.75%

 

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าตลาดสำคัญของไทยจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีพลาสติก แต่ในอนาคตมีแนวโน้มที่ตลาดเหล่านี้จะจัดเก็บภาษีพลาสติก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกอันดับ 1 ของไทย อยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมาย Reduce Act of 2021 ซึ่งย่อมส่งผลให้ผู้ส่งออกมีต้นสูงขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยต้องเตรียมการรองรับ ปรับตัว และแสวงหาโอกาสทางการตลาดในการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อาทิ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ การพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับและมาตรฐานบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล การส่งเสริมการส่งออกพลาสติกชีวภาพ และการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable business) เป็นต้น