posttoday

เอ็นทีโชว์ผลประกอบการปี 2565 กำไร 1.3 พันล้านบาท รายได้ 9.1 หมื่นล้านบาท

13 มกราคม 2566

เล็งปรับโครงสร้างธุรกิจ ดันสู่ Tech Company คาดตั้งบริษัทลูกอย่างน้อย 1-2 บริษัทภายในปีนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแบบเอกชน

พ.อ. สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที กล่าวว่า ผลประกอบการ 11 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 84,013 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 82,369 ล้านบาท  กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท ประมาณการสิ้นปี 2565 คาดมีรายได้รวม  91,528 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 90,209 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,319 ล้านบาท

 

โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Mobile 50,820 ล้านบาท หรือ 55% ของรายได้ , ธุรกิจ Fixed Line & Broadband และ Sattellite รวม 19,930 ล้านบาท หรือ 22% ของรายได้ , ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและเสาโทรคมนาคม 9,486 ล้านบาท หรือ 10% ของรายได้ , ธุรกิจ International 2,178 ล้านบาท หรือ 3% ของรายได้ , ธุรกิจ Digital และ IDC & Cloud รวม 3,902 ล้านบาท หรือ 4% ของรายได้ และรายได้อื่น 5,212 ล้านบาท หรือ 6%

 

ทั้งนี้ผลประกอบการปี 2565 สูงกว่าปี 2564 ซึ่งเป็นปีจัดตั้งบริษัท และดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผนธุรกิจ เนื่องจาก  เอ็นทีเร่งสร้างรายได้กลุ่มดิจิทัลใหม่ ๆ และการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ และบริหารจัดการเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และบริหารจัดการทรัพยากรด้านบุคคล โดยมีโครงการเกษียณก่อนอายุหรือโครงการร่วมใจจาก (Mutual Separation Plan : MSP)  เพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานลง
 

“เอ็นทีมีภารกิจหลักในการให้บริการสนับสนุนภาครัฐ และสร้างรายได้เลี้ยงองค์กรเอง  จึงจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างจริงจังเพื่อลดรายจ่ายในองค์กรให้ได้ต่อเนื่อง  โดยเน้นการจัดการ เพื่อลดต้นทุนโครงข่ายและระบบเครือข่ายการสื่อสารที่มีความซ้ำซ้อน ร่วมกับการเร่งกระบวนการจัดการภายในทั้งด้านระบบ IT และข้อมูลภายในที่มีจำนวนมากเพื่อบูรณาการฐานข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว  ขณะที่ด้านบุคลากรได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2565 สามารถลดความซ้ำซ้อนและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานลงได้ระดับหนึ่งซึ่งยังคงต้องดำเนินการเพิ่มในระยะต่อไป โดยมีโครงการเกษียณก่อนอายุเพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานด้านบุคลากร”  

 
สำหรับทิศทางธุรกิจในปีนี้ บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่เน้นโฟกัสที่ธุรกิจด้านดิจิทัลเป็นหลัก   โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ และแนวโน้มที่ประเทศไทยจะมีการลงทุนของธุรกิจต่างชาติเพิ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล   เอ็นทีคาดว่าความต้องการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมจะเพิ่มสูงขึ้น และเป็นโอกาสของเอ็นที ที่จะขยายธุรกิจจากโครงการเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ ASIA DIRECT CABLE ที่จะเปิดใช้งานในปีนี้  รวมถึงผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจบริการดิจิทัลมากขึ้น  โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็น Tech Company       
  

 

ปีที่ผ่านมากลุ่มบริการดิจิทัลสร้างรายได้และการเติบโตที่ดี  นอกจากคลาวด์และ Data Center และ Digital solution แล้วยังมีความโดดเด่นจากการเติบโตของบริการ Big Data เกิน 100% และ IT Security ที่เติบโต 26 %  จากความสามารถทำกำไรของธุรกิจบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสูงกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม  ปีนี้เอ็นทีจึงเตรียม spin off ธุรกิจกลุ่มบริการดิจิทัล 1-2 บริษัท ด้าน Cloud และ IT Security เพื่อการดำเนินธุรกิจที่แข่งขันได้และสร้างผลกำไรมากกว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม

 

พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าวว่า ในอนาคตมีแนวทางดำเนินธุรกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อ spin off ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เอ็นทีจะมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก  ทั้งนี้ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มเดิมคือเสา สาย ท่อร้อยสาย ที่บางส่วนอาจต้องใช้เงินลงทุนของภาครัฐมาช่วยเสริม เช่น โครงการเน็ตประชารัฐและอาเซียนดิจิทัลฮับ จะเพิ่มเติมรูปแบบการใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ยังคงอยู่ภายใต้รูปแบบรัฐวิสาหกิจ เช่น กองทุน Infra fund หรือ กองทุน REIT ให้เช่าระยะยาว

 

"รูปแบบการตั้งบริษัทลูก เป็นได้หลายรูปแบบ อาจจะเป็นการเข้าไปถือหุ้น หรือตั้งบริษัทร่วมกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ทำงานได้แบบเอกชน สามารถแข่งขันในตลาดได้ ส่วนธุรกิจไหนที่เป็นบริการภาครัฐ ยังอยู่ในหน่วยธุรกิจเอ็นทีเหมือนเดิม "