“คมสันต์ ลี” เปิดแผนแฟลช กรุ๊ป ปี 2566 ตั้งเป้า 3 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
แฟลช รับเงินระดมทุนก้อนใหม่เพิ่ม 15,000 ล้านบาท หวังขยายธุรกิจใน 3 ปี โฟกัสตลาดต่างประเทศเป็นหลัก คาดภายในปี 2567 มีสัดส่วนรายได้เท่ากับประเทศไทยและมีกำไรสามารถเลี้ยงบริษัทแม่ได้ มั่นใจ 3 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เราเคยตั้งใจไว้ว่า ถ้าบริษัทเรามีมูลค่าถึงแสนล้านเมื่อไหร่ เราจะนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจริงๆต้องเป็นปีนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซไม่โต ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น 30-40% ประกอบกับสถานการณ์โควิดที่พนักงานทำงานไม่ได้ เพราะติดโควิด ทำให้ต้องจ้างพนักงานเพิ่มอีก 7,000 คน เพื่อทดแทนคนติดโควิด ดังนั้นงานชิ้นเดียวเท่ากับมีค่าแรง 2 แรง และมาตรการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อในพัสดุและคลังสินค้า ปัจจุบันเราจึงมีมูลค่าอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท แต่ 3 ปีนับจากนี้เราจะต้องนำพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ ด้วยเงินระดุมทุนก้อนใหม่ 15,000 ล้านบาท ในการขยายตลาดต่างประเทศในช่วง 3 ปีนี้
"คมสันต์ ลี" ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช และผู้ก่อตั้งแฟลช เอ็กซ์เพลส ยูนิคอร์นเมืองไทย กล่าวถึงความตั้งใจในการทำธุรกิจหลังจากที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2560
ตลาดอีคอมเมิร์ซไม่โตแบบที่คิด
"คมสันต์" อธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ผลประกอบการในปี 2565 ไม่เป็นเหมือนอย่างที่คิดนั้น เพราะการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 2564 โตเร็วเกินไป ทุกบริษัทโต 200% ขณะที่แฟลชเองมีรายได้ 17,000 ล้านบาท กำไร 6 ล้านบาท ทำให้มีความหวังว่าปีถัดไปจะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้
แม้ว่าผลประกอบการปี 2565 น่าจะใกล้เคียงกับปี 2564 ยอดการส่งสินค้าอยู่ที่ 2.4 ล้านชิ้นต่อวัน แต่รายได้ต่อชิ้นลดลง ด้วยต้นทุนทั้งน้ำมันและโควิด ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น สวนกับตลาดอีคอมเมิร์ซที่ชะลอตัวลง เพราะได้ผ่านการเติบโตสูงสุดมาแล้ว ยอมรับว่าปี 2565 ผลประกอบการในไทยขาดทุนแน่นอน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้
สำหรับภาพรวมของตลาด พบว่าทุกรายประสบปัญหาเดียวกันหมด คนที่ซื้อของออนไลน์มีอยู่เท่าเดิม คนที่ไม่เคยซื้อต้องใช้เวลาช้าหน่อยกว่าเขาจะเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อของออนไลน์ ขณะที่แพลตฟอร์มขายของออนไลน์เองก็ลดต้นทุน ไม่มีการจัดโปรโมชั่น กระตุ้นตลาด สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอางค์ กำลังซื้อลดลง ขณะที่การแข่งขันลดลง ไม่มีผู้เล่นรายใหม่ แต่ตลาดก็ไม่โต
ส่วนเรื่องต้นทุนโดยเฉพาะราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่ควบคุมยากเพราะรัฐบาลเป็นคนกำหนด บริษัทเคยศึกษาการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาทดแทนแล้วแต่พบว่ามีต้นทุนสูงกว่าเดิม 3 เท่า กว่าจะคืนทุนต้องใช้เวลา 6 ปี เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการนำเข้ามาจากประเทศจีน ประสิทธิภาพดี แต่ถูกเก็บภาษีนำเข้าแพง
ตลาดต่างประเทศสดใส
จากผลกำไรในปี 2564 ทำให้บริษัทตัดสินใจรุกตลาดต่างประเทศ และมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการโดยรวมของแฟลช กรุ๊ป ดีขึ้น ปัจจุบัน แฟลช เอ็กซ์เพลส มีตลาดต่างประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว,ฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย ซึ่งหากรวมประเทศไทยด้วยแล้วแฟลชมีพนักงานอยู่ทั้ง 4 ประเทศ 50,000 คน
ใน 4 ประเทศนี้ ตลาดแฟลช เอ็กซ์เพลส ในประเทศฟิลิปปินส์เติบโตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากประมาณ 100 ล้านคน ตลาดอีคอมเมิร์ซยังไม่เติบโตมากเมื่อมีโควิดเข้ามาทำให้ตลาดเติบโตขึ้น ที่สำคัญคือมีพฤติกรรมชอบจับจ่ายใช้สอย โดยแฟลชมีพนักงานอยู่ที่ฟิลิปปินส์ประมาณ 11,000 คน ขยายพื้นที่ให้บริการแล้ว 90% ขึ้นเป็นท็อป 3 และคาดว่าจะเป็น ท็อป 2 และมีกำไรได้ภายในปีนี้
ขณะที่การให้บริการคลังสินค้าแบบครบวงจร บริษัทให้บริการในเวียดนาม สำหรับให้บริการลูกค้าแฟลช เอ็กซ์เพลสที่อยู่ในไทยต้องการส่งของไปเวียดนาม มีพื้นที่ให้บริการ 10,000 ตารางเมตร , ลาว มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ เน้นขยายพื้นที่ตามการเติบโตของแฟลช เอ็กซ์เพลส
การทำธุรกิจในลาวบริษัทจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเงินลาวเป็นเงินบาทถึง 40% แต่เมื่อมีการร่วมลงทุนกับบริษัทเอเชียการลงทุนและบริการ หรือ AIF กรุ๊ป บริษัทเอกชนที่ลาว ทำให้การลงทุนไม่กระทบมากนัก นอกจากนี้ยังให้บริการคลังสินค้าในอินโดนีเซียเจาะกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำธุรกิจในอินโดนีเซีย แต่ไม่ต้องการสร้างคลังสินค้าเอง
สำหรับปีนี้ บริษัทจะขยายธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจเลือกระหว่าง เวียดนาม และ สิงคโปร์ ซึ่งที่สิงคโปร์ บริษัทมีสำนักงานอยู่แล้ว และเป็นประเทศที่มีโอกาสในการสร้างดีลต่างๆกับบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งล้วนแต่มีบริษัทสาขาตั้งอยู่ที่สิงคโปร์แทบทั้งสิ้น หากมองถึงโอกาสตลาดในต่างประเทศแล้วละตินอเมริกาและซาอุดิอาราเบียก็น่าสนใจ
แต่การขยายตลาดต่างประเทศมีข้อจำกัดเรื่องการหาบุคลากร 1 ประเทศต้องมีทีมระดับผู้บริหาร 200 คน ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนขยายทีมจาก 50,000 คนทั่วประเทศเป็น 70,000 คน และคาดหวังว่าภายในปี 2567 สัดส่วนรายได้ต่างประเทศและในประเทศจะมีสัดส่วนเท่ากัน และต่างประเทศจะมีกำไรมาเลี้ยงบริษัทแม่ในประเทศไทย
3 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แน่นอนว่า แผนดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการระดมทุนอีกครั้ง ซึ่ง คมสันต์ ยอมรับว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งได้ทุนมาเพิ่มอีก 15,000 ล้านบาท ในการใช้ขยายตลาดในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตนเองวางไว้ว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้แฟลชต้องเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จำกัดว่าจะอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้นเขาคาดว่าจะต้องได้รับการระดมทุนอีกครั้งหนึ่งก่อนขายไอพีโออย่างแน่นอน
ปั้น F-Commerce ขายออนไลน์ครบวงจร
"คมสันต์" ฉายภาพถึงการทำธุรกิจในปี 2566 ต่ออีกว่า ทุกวันนี้ดารา อินฟลูเลนเซอร์ มีสินค้าของตนเองมากมาย แต่อาจจะไม่ได้ขายดี เมื่อเทรนด์การไลฟ์สดขายของกำลังมา แฟลชจึงมี F-Commerce เพื่อให้การขายออนไลน์ครบวงจร ด้วยการจ้างดารา อินฟลูเลนเซอร์ มาขายสินค้าของพันธมิตรที่ใช้บริการคลังสินค้า
ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ให้บริการสำหรับไลฟ์ขายของด้วย ผูกติดกับโปรแกรมขายของออนไลน์ของติ๊กต็อก มีทั้งบริการตั้งแต่ห้องไลฟ์สด รับจ้างไลฟ์สด ยิงโฆษณา ให้ความรู้เรื่องขายของออนไลน์ ไปจนถึง การส่งสินค้าไปยังลูกค้าปลายทาง
รูปแบบการให้บริการนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในอินโดนีเซีย แฟลชมีการสร้างตึกให้บริการแล้ว 2 ตึกๆละ 10 ชั้น ส่วนที่ประเทศไทยมี 1 ตึก จำนวน 100 ห้อง การเติบโตของธุรกิจนี้โตปีละ 5 เท่า รายได้อยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งแฟลชตั้งเป้าในการสร้างคนขายของไลฟ์สดหรือเรียกง่ายๆว่า พิมรี่พาย ให้ได้ 1,000 คน ในปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่ 300-400 คน
"คมสันต์" กล่าวทิ้งท้ายว่า ความท้าทายของการทำธุรกิจนี้ ไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่คือเรื่องทรัพยากรบุคคล แฟลชต้องการคนที่พร้อมจะ “สร้าง” สำหรับไปลุยงานต่างประเทศและต้องการคนที่ “ซ่อม” เพื่อดูแลตลาดประเทศไทย แฟลชได้ปรับเปลี่ยนบุคลากรมาแล้วครั้งใหญ่
ธุรกิจของแฟลชเปรียบเสมือนบ้านที่ไม่ได้ต้องการ "สร้าง" แต่ต้องการ "ซ่อม" สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาทำให้รับรู้ได้ว่า "การซ่อม" สำคัญ กว่า "การสร้าง" เรื่องราคา การแข่งขัน หรือ ความเร็วในการส่ง ทุกคนทำได้มาตรฐานเดียวกันหมด แต่การดูแลลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญกว่า ของหาย ของพัง จะดูแลลูกค้าอย่างไร การหาคนที่พร้อมจะลุยด้วยกันมันคือเรื่องยากจริงๆ


