‘จิราธิวัฒน์’ ยืนหนึ่งค้าปลีกไทย ขับเคลื่อนความมั่งคั่งด้วย CRC

ห้างเซ็นทรัลที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC   เป็นแหล่งจับจ่ายของคนไทยมาถึง 75 ปี นับแต่ เตียง  กับ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ผู้พ่อกับบุตรชาย เริ่มสร้างธุรกิจขึ้นเมื่อปี 2490 กระทั่งตอนนี้เครือข่ายค้าปลีกของ CRC ครอบคลุมถึง 58 จังหวัดทั่วเมืองไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565) จนกวาดรายได้ถึง 69%  จากฐานธุรกิจในเมืองไทย ของผลประกอบการล่าสุด ณ ครึ่งแรกของปี 2565

ก่อนจะมีวันนี้ ธุรกิจครอบครัวจิราธิวัฒน์ ก็ไม่ต่างจากคนจีนอื่น ๆ ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาสร้างตัวบนแผ่นดินสยาม โดยเริ่มจากพ่อและลูกชายที่ช่วยกันเปิดร้านชำเล็ก ๆ ของครอบครัวขึ้นจนกิจการได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งนำไปสู่การริเริ่มกิจการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแห่งแรกในย่านวังบูรพาเมื่อปี 2499 แล้วเดินหน้าพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและขยายแตกยอดไปยังธุรกิจมากมายที่เกี่ยวเนื่องดังเช่นปัจจุบัน  

ด้วยเครือข่ายค้าปลีกที่แข็งแกร่ง ทำให้แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ยุคสมัย กลุ่มเซ็นทรัลก็ยังยืนหยัดจนถึงปัจจุบันและเป็นผู้พัฒนาห้างสรรพสินค้าใหญ่สุดของไทย ทำให้ตระกูลจิราธิวัฒน์ยังคงความมั่งคั่งเป็นอันดับต้น ๆ ท่ามกลางเศรษฐีชั้นนำในเมืองไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2565 จากการรายงานของ Forbes 
 

ทิศทางความมั่งคั่งของ ‘จิราธิวัฒน์’

อาณาจักรค้าปลีกภายใต้ CRC ซึ่งล่าสุดมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ที่ราว 2.43 แสนล้านบาท ณ วันที่ 7 เดือนพฤศจิกายน 2565 ขณะนี้กุมบังเหียนโดยทายาทรุ่น 3 อย่าง ทศ จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร ได้แตกแยกย่อยออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจ คือ Fashion Food Property Hardline และ Health&Wellness 

เครือข่ายค้าปลีกของ CRC แข็งเกร่งด้วยการพยายามเลือกไปอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดและครอบคลุมเมืองหลัก ซึ่งเฉพาะในเมืองไทยก็มีถึง 1,719 ร้านค้าใน 58 จังหวัด ยังไม่รวมอีก 123 ร้านค้าใน 41 จังหวัดของประเทศเวียดนาม และห้างสรรพสินค้า 9 สาขาใน 8 เมืองของประเทศอิตาลี จึงทำให้ถือครองร้านค้าปลีกที่มีพื้นที่ขายรวม 3,205,590 ตารางเมตร และพลาซ่าที่มีพื้นที่ให้เช่ารวม 693,308 ตารางเมตร (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565) 

ยิ่งสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 คลี่คลายดีขึ้นเรื่อย ๆ จนวิถีชีวิตของคนไทยเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดียวกับทั้งในเวียดนามและอิตาลีที่มีเครือข่ายค้าปลีกของบริษัทประจำการอยู่ อีกทั้งด้วยการท่องเที่ยวที่กลับมาสดใส ก็ยิ่งเป็นแรงผลักให้ CRC ฟื้นตัวกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

อีกปัจจัยที่จะมาเกื้อหนุนรายได้ของ CRC ในอนาคต คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น  ช้อปดีมีคืน ที่จะก่อให้เกิดกการจับจ่ายภายในประเทศช่วงปลายปีให้คึกคักมากยิ่งขึ้น เพราะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งย่อมส่งผลให้ภาคค้าปลีกได้รับอานิสงค์ให้เติบโตไปด้วย ยิ่งทำให้ CRC มั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มอย่างก้าวกระโดด และปิดปี 2565 ด้วยรายได้เติบโตกว่า 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

แม้รายได้ของ CRC มาจากอาณาจักรค้าปลีกในไทยเป็นหลัก แต่ครอบครัวจิราธิวัฒน์ก็ยังคงมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มพูนความมั่งคั่งขึ้นเรื่อย ๆ ที่ฮือฮาไม่น้อยคือการเข้าซื้อกิจการของ Grab ในเมืองไทย ด้วยเม็ดเงินถึง 4.5 พันล้านบาท ผ่านการที่ Hillborough Group (บริษัทในเครือ CRC) เข้าซื้อหุ้น Porto Worldwide Limited (“Porto WW”) ในสัดส่วน 67%

โดยท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ CRC ถือครองหุ้นในบริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่อัตรา 40% ด้วยหวังต่อยอดจากศักยภาพของ Grab Superapp นั่นเอง เพื่อให้บริษัทมุ่งสู่การเป็น Digital Retail อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งขึ้นนั่นเอง

ยิ่งล่าสุดที่ CRC ยังเพิ่มสีสันด้วยธุรกิจค้าปลีกโมเดลใหม่ จากการเปิดตัว Tops CLUB (ท็อปส์ คลับ)  บนพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร ที่จัดเต็มสินค้าจากทั่วโลก ในรูปแบบของเมมเบอร์ชิปสโตร์ หรือร้านที่ผู้บริโภคจะต้องสมัครสมาชิก เพื่อรับสิทธิ์เข้าไปช็อปปิ้ง หรือ ชำระเงินเป็นรายปีหากต้องการเป็นสมาชิกระดับพรีเมียม (Premium Member) ที่จะได้รับส่วนลดพิเศษ 

น่าจะยังมีดีลหรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะมาเขย่าธุรกิจค้าปลีกทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่ตระกูลจิราธิวัฒน์รอเปิดตัวอีกในอนาคต ส่วนจะเป็นบิ๊กดีลระดับไหน หรือ มาในรูปแบบใด ก็ต้องรอติดตาม