การผสานรวมของโลกเทคโนโลยี ตอบรับการนำระบบดิจิทัลสู่โรงงานยุคใหม่
การผสานรวมของโลกเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (โอที) ในภาคการผลิต ตอบรับการนำระบบดิจิทัลสู่โรงงานยุคใหม่
มิสเตอร์เซบาสเตียน ครูเกอร์ รองประธาน Paessler ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต และรายได้ของกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ การทำคาดการณ์ล่วงหน้าทำได้ในช่วงระยะสั้น และบริษัทต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้ม และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป แม้จะมีความไม่แน่นอนในปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เห็นในปี 2564 และนับจากนี้ คือ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีการนำ IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม หรือ Industrial Internet of Things (IIoT) มาใช้งานเพิ่มมากขึ้น
หลังเกิดโรคระบาด ภาคอุตสาหกรรมการผลิตคาดว่าจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทอุตสาหกรรมกำลังนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถ ปรับใช้แอปพลิเคชันและบริการใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้มีความคล่องตัว การ์ตเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 องค์กร 50% จะใช้แพลตฟอร์ม IIoT พร้อมกับมีการใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเพิ่มมากขึ้น เพื่อรับข้อมูลจากจุดต่างๆ ในเครือข่าย และปรับปรุง การดำเนินงานของโรงงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมีเพียง 10% ที่นำ IIoT มาใช้งาน ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโต และไทยพร้อมที่จะเป็นผู้เล่นหลักในภูมิภาคนี้
ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และสถานการณ์ในอนาคตของตลาดยังคงดูสดใส อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่ช่วยดูแล การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งช่วยผลักดันให้ไทยก้าวเดินออกห่างจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม ไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงหรือระบบอัจฉริยะ ความตั้งใจในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ผลิตเห็นได้ชัดจากงาน Manufacturing Expo 2022 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบรรดาผู้เล่นรายสำคัญในอุตสาหกรรม และโซลูชันดิจิทัล ที่มีการนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตให้ดียิ่งขึ้น
ติดปีกด้วยเครื่องมือดิจิทัล
สถานการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล ดังนั้น ผู้ผลิตในประเทศไทย จึงควรมองหาโอกาสในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อแก้ไขปัญหาผลิตภาพระดับต่ำ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองในฐานะโรงงานระดับโลก อีกทั้งยังควรใช้ประโยชน์ จากข้อมูล อย่างเหมาะสม เพื่อให้สะท้อนถึงรายละเอียดที่นำไปปฏิบัติได้จริงในธุรกิจ ในด้านการปรับปรุง กระบวนการของภาคการผลิตให้ดีที่สุด
จากการสำรวจของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อ เศรษฐกิจและสังคม เมื่อปี 2563 คาดการณ์ว่าฮาร์ดแวร์และสมาร์ทดีไวซ์ของไทยจะเติบโต 4.40% คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 286,448 ล้านบาท ปัจจัยหลักของการเติบโตมาจากมีโครงการต่างๆ ดำเนินการอยู่ รวมถึงการวางแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และความพร้อมสำหรับหลังโควิด-19 นวัตกรรมเกี่ยวกับ IoT และระบบอัตโนมัติ รวมถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้มากขึ้นในโรงงานแทนที่แรงงานต่างชาติ และงานอื่น ๆ ที่แรงงานไทยปฏิเสธ
การที่ข้อมูลได้กลายเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงองค์กรและเป็นรากฐานแห่งวิวัฒนาการของภาคการผลิต ดังนั้น ผู้ผลิตจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้อีกต่อไป ข้อมูลยังช่วยให้ ซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงแบบดั้งเดิม ได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบ ที่เชื่อมต่อกัน อย่างมีพลวัต อันทำให้ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงปฏิบัติการ ให้ดีขึ้น และสร้างความได้เปรียบ ทางการแข่งขัน อีกทั้งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวยังนำมาซึ่งการผสานรวมของโลก IT และ OT เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเดิมอีกระดับ
การผสานรวมของโลกเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล
การผสานรวมของระบบ IT และ OT ในภาคการผลิตไม่ใช่แนวคิดใหม่ ที่จริงมีการพูดถึงแนวโน้มดังกล่าว ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2011 และที่จริงในทุกวันนี้ ผู้ดูแลระบบ IT ในบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต้องรับมือกับเรื่อง OT มากกว่าที่เคยเป็นมา
บทบาทของทีมงานด้าน IT และ OT ในองค์กรเหล่านี้ได้เติบโตขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการตรวจสอบ ระบบอีเทอร์เน็ตภาคอุตสาหกรรมไปจนถึงการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับด้าน OT ให้ทำงานได้ ตามปกติ อีกทั้งขอบเขตด้าน IT และ OT ก็มีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้น มีการส่งข้อมูลจากโรงงาน ไปยังระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) หรือระบบคลาวด์ ภายใต้ความท้าทายที่ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ทั้งสองทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้จะมีจุดแข็ง มุมมอง องค์ความรู้ และงานที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันไป
ทีมงานด้าน IT มักให้ความสำคัญกับข้อมูลธุรกิจและการอัปเดตให้ทันเทคโนโลยี ขณะที่ทีมงานด้าน OT มักมองถึงประสิทธิภาพของภาคการผลิตและความยั่งยืนในกระบวนการ การตามหาจุดสมดุล ที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจจึงเป็นเรื่องยาก และก้าวต่อไปที่ควรดำเนินการก็คือ การทำให้ทั้งสองฝ่าย เข้าใจภาพรวมในกระบวนการทั้งหมด
งานด้าน IT และ OT มีชุดเครื่องมือที่ต่างกันภายใต้มาตรฐานและโปรโตคอลจำนวนมากที่ไม่เหมือนกัน ปัญหาดังกล่าวจะทวีคูณในองค์กรขนาดใหญ่ที่อาจประกอบด้วยอุปกรณ์ด้าน IT และ OT ที่หลากหลายสถานที่จำนวนนับร้อยนับพันเครื่อง เพราะอาจหมายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จากปัญหาที่เล็ดรอดสายตาของทั้งสองทีม ดังนั้น ระหว่างที่ผู้ผลิตต่างมุ่งมั่นให้การผสานความร่วมมือ ดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้ผลิตก็ควรพิจารณาถึง เทคโนโลยีที่จะช่วยดูแล กระบวนการทำงานทั้งหมด ในฟากการผลิตโดย:
1. การมอนิเตอร์ระบบ OT และโครงสร้างพื้นฐานภาคอุตสาหกรรม - เพื่อให้เข้าใจสภาวะในโรงงานผ่านการสังเกตและการมอนิเตอร์อุปกรณ์พิเศษในฝั่ง OT เช่น
? อุปกรณ์อีเทอร์เน็ตภาคอุตสาหกรรมอย่างเราเตอร์ สวิตช์ และไฟร์วอลล์
? ตู้เก็บอุปกรณ์ภาคอุตสาหกรรมซึ่งใช้จัดเก็บอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์
? เกตเวย์ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเชื่อมส่วนต่างๆ ที่มีการแปลงโปรโตคอล รวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน และถ่ายโอนไปยังปลายทางต่างๆ
2. การดูแลให้การทำงานของตัวควบคุมและระบบสั่งงานเป็นไปตามปกติ - การมอนิเตอร์ระบบโรงงานอย่าง SCADA และ MES ตลอดจนการดูแลให้การทำงานเป็นไปตามปกติถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาปัตยกรรมเชิงอุตสาหกรรม เพราะหากระบบมีปัญหาก็อาจก่อความเสียหายคิดเป็นมูลค่ามหาศาลได้ในทันที
3. การผสานข้อมูล OT ภายใต้แนวคิดการมอนิเตอร์ระบบ - ปิดจุดบอดในโครงสร้างระบบโดยการผสานรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ภายใต้เครื่องมือชิ้นเดียวซึ่งช่วยแสดงภาพรวมการทำงานขององค์ประกอบด้าน IT และ OT ได้ทุกส่วน
เมื่อผู้ผลิตสามารถสังเกต ติดตาม จัดการ เข้าใจ และดำเนินการตามข้อมูลที่รวบรวมได้มา ก็จะสามารถ ขับเคลื่อนทิศทางของข้อมูลและกระบวนการด้วยบุคลากร และเครื่องมือที่เหมาะสมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ของฝั่งใด จะอยู่รวมศูนย์หรือสุดปลายขอบ ความสามารถในการมอนิเตอร์ระบบ เครือข่ายซัพพลายแบบดิจิทัลทั้งหมด และการดูแลให้ระบบทำงานเป็นปกติ จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ดังนั้นในยามที่เราก้าวเดินสู่อนาคต นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ในภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นสิ่งที่มีศักยภาพต่อการผลักดันให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตบนเวทีโลก ซึ่ง Paessler ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการมอนิเตอร์ระบบ IT มีความเข้าใจในบทบาทของข้อมูล อันทำหน้าที่เป็นเข็มทิศชี้ทางแก่อุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันการมอนิเตอร์ระบบ PRTG ทำให้ Paessler พร้อมที่จะช่วยเหลือธุรกิจและผู้ผลิตในการติดตามการผสานรวมของโลก IT และ OT ตลอดจน ดูแลกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลให้เดินหน้าอย่างราบรื่น และช่วยให้สามารถ มอนิเตอร์ข้อมูลได้ดีขึ้น ทั้งในสถานที่เดียวกัน และในสาขาต่างๆ


