เอสเอ็มอีพลิกสู้วิกฤตโควิด หันเปิดร้านอาหารส่งเดลิเวรี ร้องถึงจุด 'พึ่งพารัฐไม่ได้แล้ว'
ร้านอาหาร 'คลองข้างวัด' สะท้อนมาตรการงดนั่งกินในร้าน เราเดินมาถึงจุดเอสเอ็มอีหวังพึ่งอะไรจากรัฐบาลไม่ได้แล้ว แนะทางออกการช่วยเหลือแบบส่งต่อจะช่วยประคองรายเล็กให้ไปต่อไหว
ชลลดา เวียงทอง เจ้าของธุรกิจร้านหารคลองข้างวัด เปิดเผยว่าร้านอาหารคลองข้างวัด ตั้งในทำเลซอยลาดพร้าว 101 เปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือน มีนาคม 2564 ด้วยมองเห็นโอกาสกาสของธุรกิจเดลิเวอรี ที่เติบโตสูงต่อเนื่องในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้กลุ่มคนทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อหลักของเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีพฤติกรรมการสั่งอาหารผ่านแพล็ตฟอร์มออนไลน์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามมา จากปัจจัยการทำงานที่บ้าน (Work From Home-WFH) และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในยุคนิวนอร์มัล
"ในช่วงที่เปิดร้านอาหารคลองข้างวัด มองว่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยให้ครอบครัว และ ลูกน้องมีรายได้เพิ่มเข้ามา ด้วยก่อนหน้าเกิดการแพร่ระบาดโควิด ได้ดำเนินธุรกิจด้านผลิตสื่อนอกสถานที่ หรือ เอาท์ ออฟ โฮม มีเดีย ซึ่งหยุดชะงักไปจากสถานการณ์โควิด ทำให้ธุรกิจองค์กรส่วนใหญ่เลือกที่จะตัดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งก็ส่งผลกระทบกับธุรกิจหลัก จึงต้องปรับตัวด้วยการทำร้านอาหารบริการเดลิเวอรี" ชลลดา กล่าวเสริม
ขณะที่ในช่วงระยะแรกที่ร้านอาหารคลองข้างวัดเปิดให้บริการนั้น 'ชลลดา' เล่าว่าได้การตอบรับในระดับน่าพอใจ ทั้งจากบริการรนั่งรับประทานอาหารในร้านรองรับได้3 ที่นั่ง และบริการเดลิเวอรี โดยตลอดที่ผ่านมา ทางร้านได้มีการปรับตัวในการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้แพล็ตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าถึงลูกค้าในทำเลใกล้เคียงให้ได้มากที่สุด การสร้างตอนเทนต์ประชาสัมพันธ์ร้านผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นต้น
ทั้งนี้จากมาตรการสั่งงดนั่งกินอาหารในร้านของรัฐบาล ที่รัฐประกาศออกมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ร้านอาหารคลองข้างวัดได้เผชิญมาถึง 2 ครั้งนั้น ซึ่งในรอบล่าสุดที่ภาครัฐประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา นั้นยอมรับว่า 'ช็อค' ด้วยก่อนหน้าดูเหมือนว่าธุรกิจยังสามารถประคับประคองไปได้ โดยรายได้ที่เข้ามา ยังสามารถนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนต่อเดือนได้ เช่น ต้นทุน ค่าแรงพนักงาน พ่อครัว ค่าเช่าร้าน ฯลฯ
ชลลดา เล่าอีกว่า ไม่ต้องพูดถึง 'กำไร' ซึ่งไม่มีเลย เพราะช่วงที่ผ่านมา ร้านต้องควักเนื้อทุกเดือน เพื่อนำมาใช้ด้านการทำตลาด โปรโมท บูทเพจเฟซบุ๊คคลองข้างวัด ซึ่งก็จะได้ผลในกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในรัศมีใกล้ ซึ่งการทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ธุรกิจมีรายได้ประคับประตองต่อเดือนไปให้ได้นานที่สุด"
พร้อมขยายแนวทางการทำตลาดร้านอาหารเพิ่มว่า การทำร้านอาหารในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ว่ามีฝีมือการทำอาหารเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถเปิดร้านอาหารได้แล้ว แต่จะต้องมีทักษะหลายด้านประกอบกันโดยเฉพาะ 'การบริหารจัดการ' ทั้งด้านคน วัตถุดิบ การบริการ และการทำตลาด
โดยสอดคล้องกับจุดตั้งต้นการเปิดร้านอาหารคลองข้างวัด ที่นอกจากเป็นการหารายได้เข้ามาอีกหนึ่งช่องทางแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีส่วนร่วมสร้างงานในตำแหน่งอื่นๆ ทั้งพนักงานบริการ และ พ่อครัว ซึ่งทางร้านได้จ้างเชฟมาจากร้านอาหารกลางคืน ซึ่งถูกปิดกิจการไปจากพิษโควิดเช่นกัน ซึ่งเชฟเองก็ยอมปรับมารับเงินเดือนกับทางร้านในอัตรา 1.5 หมื่นบาท จากเดิมที่เคยได้รับอยู่ที่หลัก3 หมื่นบาทต่อเดือน หรือ พนักงานที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ทางร้านก็รับมาให้ช่วยงานเช่นกัน
"ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจรายเล็กต่างช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด ทั้งปรับตัวด้านต่างๆ หาวิธีการขายใหม่ๆ ไห้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแต่ละรายก็อาจมีสายป่านธุรกิจยาวสั้นไม่เท่ากันก็อาจจะต่อลมหายใจธุรกิจได้แตกต่างกัน แต่จากมาตรการล่าสุดของรัฐที่ประกาศออกมาก็ยิ่งตอกย้ำว่าธุรกิจหวังพึ่งอะไรรัฐบาลไม่ได้อีกแล้ว ผู้ประกอบการ ช็อค เครียด คิดว่าจะต้องปิดแล้ว จะให้เชฟไปทำเองเพราะแบกค่าแรงไม่ได้ ทางเรายอมจ่ายค่าเช่าหน้าร้านให้ แต่สุดท้ายเชฟขอยอมลดเงินเดือนเพื่อให้ร้านไปต่อได้ นี่คือโซลูชันส์ของร้านตอนนี้" ชลลดา ขยายความ
ขณะเดียวกัน ร้านอาหารคลองข้างวัด ยังได้ปรับกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจเดินไปได้ต่อ ด้วยมองว่าในเวลานี้ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างอยู่บ้านกันมากขึ้น ก็มองต่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคมักสั่งอาหารอยู่บ้าน จึงพัฒนาเพจเฟซบุ๊ค พร้อมสร้างคอนเทนต์พีอาร์ร้านอย่างต่อเนื่องเพื่อนำร้านเข้าไปอยู่ในไลน์กลุ่มหมู่บ้าน คอนโดมีเนียม ในระแวกใกล้เคียง เพื่อสร้างการรับรู้และปิดยอดขายการสั่งอาหารและนำส่งถึงมือลูกค้าต่อวันได้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงกำไรแล้วในเวลานี้
พร้อมฉายภาพการทำตลาดในขณะนี้ว่า แม้ว่าจะมีหลายเพจดังให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถฝากร้านได้นั้น แต่ก็เห็นว่าเป็นการสร้างการรับรู้ได้เพียงเท่านั้น ไม่สร้างการซื้อขายได้จริง โดยเฉพาะธุรกิจการทำอาหารสด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการเข้าไปฝาากร้าน ดังนั้นทางร้านจึงหันมาปรับใช้กลยุทธ์ โลคัลไลซ์ นำเสนอบริการเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ระแวกใกล้เคียง พร้อมจัดโปรโมชัน ฟรีค่าจัดส่งอาหารในระยะทางที่กำหนดไว้
ชลลดา กล่าวทิ้งท้ายว่า "แนวทางแก้ปัญหาในขณะนี้เห็นว่าควรเป็นไปในลัษณะให้การช่วยเหลือแบบส่งต่อ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งการที่เห็นธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ ได้ลงมาช่วยรายเล็ก อาทิ ลดค่าเช่าพื้นที่ ฟรีค่าเช่าหน้าร้าน หรือ จัดโซนนิงฟรีให้เจ้าของธุรกิจนำสินค้ามาเปิดขายให้บริการได้หรือในด้านอื่นๆ จากนั้นภาครัฐควรเข้ามา Subsidised ให้การสนับสนุนภาคเอกชนรายใหญ่เหล่านี้ในด้านภาษีรูปแบบต่างๆ ต่ออีกทอด เป็นต้น"
โดย ดวงใจ จิตต์มงคล


