SCCกำไร8พันล.

“ปูนซิเมนต์ไทย”ตัดขาย ปตท.เคมิคอล ร่วม 16% รับทรัพย์ 3.3 หมื่นล้านบาท บิ๊กล็อตผ่าน 3 โบรกฯ ใน-นอก วงการเก็งทุ่มลงทุน TPC ลือเทนเดอร์-ถอนหุ้นออก

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขายหุ้นบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ซึ่งถืออยู่จำนวน 236 ล้านหุ้น คิดเป็น 15.59% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ขายราคาหุ้นละ 140 บาท รวม 3.3 หมื่นล้านบาท ขายให้กับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ในวงจำกัดแบบข้ามคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ภายหลังการขายหุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ยังถือหุ้น PTTCH อยู่ 66.9 ล้านหุ้น หรือ 4.42% โดยยังไม่มีแผนจำหน่ายหุ้นที่เหลือ และไม่มีผลกระทบกับสัญญาซื้อขายวัตถุดิบจาก PTTCH เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของ SCC

นายกานต์ กล่าวว่า ราคาขาย PTTCH ต่ำกว่าราคาตลาด ณ วันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งปิดที่ 154 บาท แต่เป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน
สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายหุ้น PTTCH ครั้งนี้ มีประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งรับรู้กำไรในไตรมาส 4 นี้ และบริษัทมีแผนนำเงินไปลงทุนต่างๆ ที่เป็นธุรกิจหลักทั้งในประเทศและภูมิภาคต่อไป

ทั้งนี้ การซื้อขาย PTTCH ได้ทำรายการผ่านการซื้อขายรายใหญ่ (Big Lot) เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 107 รายการ รวม 236.25 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 140 บาท เป็นมูลค่า 33,077.40 ล้านบาทผ่านโบรกเกอร์ 4 ราย คือ บล.ภัทร บล.เครดิตสวิส แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลลินช์ และ บล.ยูบีเอสวอร์เบิร์ก

การทำบิ๊กล็อตนี้ส่งผลให้มูลค่าซื้อขายรวมทั้งตลาดปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติศาสตร์ โดยหุ้น PTTCH ปรับตัวลงแรง ปิดที่ 146 บาทลดลง 8 บาท หรือ 5.19% เนื่องจากบิ๊กล็อตต่ำกว่าราคากระดาน

ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น SCC ปรับตัวขึ้นสวนทางจากแรงเก็งกำไรรับรู้กำไรจากการขายในไตรมาส 4 นี้ โดยราคาขึ้นไปสูงสุด 356 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงปิด 338 บาทลดลง 9 บาท นอกจากนี้นักลงทุนคาดว่า SCC จะนำเงินไปทุ่มลงทุนในบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) รวมทั้งข่าวลือ SCC จะทำคำเสนอซื้อหุ้น TPC และเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้มีแรงเก็งกำไร TPC เข้ามาขึ้นไปแตะสูงสุด 35.75 บาท ก่อนปิดที่ 32.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินและบัญชี PTTCH กล่าวว่า การที่ปูนซิเมนต์ไทยขายหุ้นออกมาให้กับกองทุนต่างๆ จะส่งผลให้ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด (ฟรีโฟลต) ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 35.59% จาก 20% และจะแก้ปัญหาฟรีโฟลตต่ำได้และการขายหุ้นครั้งนี้จะไม่กระทบต่อการบริหารกิจการ เพราะผู้ซื้อเป็นกองทุน ไม่ใช่พันธมิตรทางธุรกิจ