วินเทจสไตล์ ศีรษะจรดปลายเท้า
หนาวปีนี้ 'วินเทจสไตล์' ยุค 20’s, 60’s หรือ 70’s มาแรง....
หนาวปีนี้ 'วินเทจสไตล์' ยุค 20’s, 60’s หรือ 70’s มาแรง....
โดย...พิสุทธิ์ อิสรชีววัฒน์
สำหรับหน้าหนาวในปีนี้แล้ว การแต่งกายในสไตล์ที่มีกลิ่นอายของยุคสมัยเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็น 20’s, 60’s หรือ 70’s ดูจะเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกกันติดปากไปแล้วในตอนนี้ว่า วินเทจ (Vintage) ซึ่งการแต่งกายในแบบวินเทจหลายคนก็อาจจะคิดว่าเป็นการแต่งกายที่ดูหวานๆ กับส่วนผสมของผ้าลูกไม้ แต่ลึกๆ แล้ววินเทจมีอะไรที่น่าพิสมัยน่าหลงใหลมากกว่านั้น หากจะไม่แนะนำให้รู้จักก็ดูกระไรอยู่
เก่าเก็บแต่ดูดีและเทรนด์
ย้อนกลับไปในช่วงยุคสมัยก่อนปีสองพัน รูปแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากแบรนด์ห้องเสื้อชั้นนำยังถูกกำหนดด้วยช่วงเวลา อย่างในช่วงทศวรรษ 1960’s ก็จะเป็นยุคฮิปปี้ 1980’s ก็จะเป็นแบบพังค์ หรือในยุค 1990’s ก็จะเป็นการแต่งกายแบบมินิมอลลิสต์
แต่นับจากมิลเลนเนียม การแต่งกายของหญิงสาวชายหนุ่มยุคนี้ก็มีความอิสระมากขึ้น อยากจะหยิบเอาเสื้อผ้าตัวไหนมาคู่กับตัวไหนก็ได้ ไม่มีการกำหนดคอนเซ็ปต์ที่ตายตัวเหมือนสมัยก่อน
พูดง่ายๆ ก็คือหมดเวลาความเป็นสมัยนิยมที่ทุกคนต้องแต่งตัวเป็นแพตเทิร์นเดียวกัน และนั่นก็กลายเป็นที่มาของการแต่งกายแบบวินเทจ
ชนิตา ปรีชาวิทยากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท Strong Waves Co. Ltd. เจ้าของห้องเสื้อ Senada อธิบายว่า เสื้อผ้าแนววินเทจคือเสื้อผ้าแนวโบราณที่ยังคงมีการแบ่งออกเป็นยุคสมัยต่างๆ เป็นเสื้อผ้าในแบบโอตกูตูร์ของห้องเสื้อชั้นนำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาแนล หรือ ดิออร์ เป็นเสื้อที่ตอนนี้หาดูได้เฉพาะในพิพิธภัณฑ์ เป็นแนวเสื้อที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของเสื้อผ้าในยุคปัจจุบัน
“เมื่อไม่มีการแบ่งยุคสมัยของรูปแบบเครื่องแต่งกาย แรงบันดาลใจของดีไซเนอร์ก็จะมาจากเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ยังคงเป็นที่ชื่นชอบ พวกเขาก็จะหยิบยกเอารายละเอียดเด่นๆ ในแต่ละช่วงสมัยมาปรุงแต่งให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้น ทำให้เสื้อผ้าในแนววินเทจนั้นมีคุณค่ามากขึ้น เพราะในสมัยนี้คนไม่ค่อยชอบใส่เสื้อผ้าตลาดมากๆ เนื่องจากคนแต่งตัวมีความมั่นใจมากขึ้น ต้องการแต่งตัวให้โดดเด่นและแตกต่างจากผู้อื่น”
ความเก่าที่แตกต่างระหว่าง
วินเทจและเรโทร
จำได้ว่าก่อนหน้าที่การแต่งกายแบบโบราณหรือวินเทจจะได้รับความนิยมในช่วงนี้ ปีการแต่งกายแบบย้อนยุคที่เรียกว่า เรโทร (Retro) ก็มาแรงเหมือนกัน เลยอาจจะทำให้หลายคนสงสัยว่าการแต่งกายที่เน้นดึงเอากลิ่นอายของยุคสมัยเก่าๆ ทั้งสองสไตล์นี้พูดไปแล้วจะเป็นสองเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
เสื้อผ้าในแนวเรโทรส่วนใหญ่ก็จะได้รับแรงบันดาลในมาจากยุค 60’s ที่ความนิยมของศิลปะแบบป๊อปอาร์ตกำลังเฟื่องฟู ทำให้เสื้อผ้าที่เน้นสีสันสดใส ไม่ว่าชมพู เขียว ม่วง หรือ เหลือง บวกกับเสื้อแบบลายกราฟฟิกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายทาง ลายกราฟฟิก ลายริ้ว ก็กลายเป็นเครื่องแบบสัญลักษณ์ของการแต่งกายสไตล์นี้
ดีไซเนอร์คนเก่งจาก Senada แจกแจงให้ฟังว่า เสื้อผ้าสไตล์เรโทรนั้นดีไซเนอร์จะหยิบเพียงกลิ่นอายของการแต่งกายสมัยก่อนมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานของตน เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งกลิ่นอายเหล่านั้นให้ดูทันสมัยตอบรับกับเทรนด์การแต่งตัวในยุคปัจจุบัน แต่สำหรับวินเทจแล้วจะเป็นการหยิบเอาของเก่าที่เป็นจุดเด่นๆ จากยุคสมัยนั้นๆ มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการแต่งกายแบบปัจจุบัน
แต่งวินเทจให้เก๋
วินเทจกับแรงบันดาลใจของสีผม
นอกจากกระแสมาแรงในวงการเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแล้ววงการสีสันบนเส้นผมก็ยังฮอตฮิต เกาะกระแสวินเทจเหมือนกัน โดยเริ่มต้นวงการเส้นผมกับผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมจากลอรีอัล นำเสนอคอลเลคชั่น วินเทจ เอมเบอร์ กับ 3 เฉดสี ได้แก่
-แอช แอมเบอร์ (Ash Amber) สีน้ำตาลในเฉดสีเบจและทองที่มีกลิ่นอายของสีชมพูอ่อนและเทาแฝงอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนภายในที่แท้จริง ที่เบื่อหน่ายและพยายามหลบหนีจากโลกความจริงที่วุ่นวาย
-มะฮอกกานี แอมเบอร์ (Mahogany Amber) สีแดงเข้มลึกสอดรับและพลิ้วไหวที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง มั่นคงต่อทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
-โกลด์ แอมเบอร์ (Gold Amber) ประกายสีน้ำตาลทองเย้ายวนของเหล้าวิสกี้ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับสีอำพันแกมแดงของใบยาสูบ สะท้อนให้เห็นถึงความนำสมัยกับบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
เอาเป็นว่าหน้าหนาวนี้ลองกลับไปเปิดค้นตู้เสื้อผ้าของคุณแม่ คุณยาย คุณพ่อ คุณตา แล้วลองหยิบเสื้อ กระโปรง หรือกระเป๋าใบเก่งเหล่านั้นมาจับคู่กับเสื้อผ้าทันสมัยของคุณ เพียงเท่านี้ก็รับรองว่าไม่หลุดเทรนด์เป็นหนุ่มสาววินเทจแล้วล่ะ


