บวก ลบ คูณ หาร วิเคราะห์กิจการก่อน(ตัดสินใจ)ลงทุน
ในระหว่างที่ใครต่อใครกำลังยิ้มแย้มกับการลุ้นดัชนีหุ้นที่ไต่ขึ้นมาอยู่แถวๆ 1,040 จุด (วันที่ 3 พ.ย.) แต่มีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งน้ำตาตกใน เพราะความโลภบังตา
ในระหว่างที่ใครต่อใครกำลังยิ้มแย้มกับการลุ้นดัชนีหุ้นที่ไต่ขึ้นมาอยู่แถวๆ 1,040 จุด (วันที่ 3 พ.ย.) แต่มีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งน้ำตาตกใน เพราะความโลภบังตา
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์
ในระหว่างที่ใครต่อใครกำลังยิ้มแย้มกับการลุ้นดัชนีหุ้นที่ไต่ขึ้นมาอยู่แถวๆ 1,040 จุด (วันที่ 3 พ.ย.) แต่มีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งน้ำตาตกใน เพราะความโลภบังตา ทำให้ตัดสินใจซื้อหุ้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า ชื่อเต็มๆ ของบริษัทคืออะไร รู้แต่ว่า “อี นี่ แรงส์” เหลือเกิน เลยอดไม่ได้ที่จะแหย่ขาเข้าไปนิดหน่อย
แล้วมันก็ทำให้รู้ว่า อากาศบน “ดอย” มันเย็นยะเยือกแบบนี้นี่เอง
และถ้านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ “เดาถูก” ว่า ดัชนีหุ้นในปี 2554 จะขึ้นไปสูงสุดแค่ 1,200 จุด และคงไม่มีอีกแล้วที่ “เขียวยกแผง” แบบเดียวกับปี 2553 ทำให้นักลงทุนต้องทำงานหนักมากขึ้นในการคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน เหมือนกับที่ผู้จัดการกองทุนเขาทำกัน
วีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย บอกว่า “ปี 2554 จะลงทุนยากขึ้นอีกเยอะ เพราะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงมาก และจะบอกไม่ได้ว่า หุ้นกลุ่มไหนจะดี แต่จะต้องเข้าไปดูเป็นรายตัว ทำให้การเลือกหุ้นต้องมีความละเอียดและติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น”
นอกจากนี้ ปี 2554 ยังเป็นปีที่มี “ปัจจัยเสี่ยง” รออยู่อีกเพียบ เลยต้องกลับไปพลิกตำรา เรื่องประเมินคุณภาพของบริษัทแบบเจาะลึก แทนที่จะเป็นการ “ตามแห่” ลงทุนเหมือนกับปีนี้ จะได้ไม่มีคนน้ำตาตกในเพิ่มขึ้น
ตามตำราว่าไว้ ถ้าอยากจะรู้ว่า บริษัทดีหรือแย่แค่ไหน เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม บริษัทคู่แข่ง หรือดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร เมื่อเทียบกับผลงานในอดีต ก็ต้องใช้ “การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน” (Financial Ratio Analysis) โดยใช้ตัวเลขจากงบการเงินของบริษัท ซึ่งสามารถชี้วัดคุณภาพในด้านต่างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 หมวด คือ
1.สภาพคล่อง (Liquidity)
2.การบริหารสินทรัพย์ (Asset Management)
3.การบริหารหนี้สิน (Debt Management)
4.การทำกำไร (Profitability)
5.มูลค่าทางการตลาด (Market Value)
แม้ว่านักลงทุนอาจจะไม่จำเป็นต้องมานั่ง บวก ลบ คูณ หาร เอง เพราะบริษัทจะบอกอัตราส่วนทางการเงิน ข้อ 1-4 เอาไว้ในรายงานประจำปี หรือในแบบ 56-1 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอัตราส่วนในข้อ 5 หาอ่านได้จากบทวิเคราะห์ที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จัดทำขึ้น
แต่ถ้าไปอ่านบทวิเคราะห์จะเห็นว่า บล.ส่วนใหญ่จะใช้สัญลักษณ์ภาษาอังกฤษทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคงต้องขออภัยที่จะต้องใช้ “ไทยคำ อังกฤษคำ” ตามไปด้วย
สภาพคล่องไหลลื่นหรือไม่
การวิเคราะห์ “สภาพคล่อง” ของบริษัท ก็เพื่อดูว่า บริษัทมีความสามารถในการจ่าย “หนี้ระยะสั้น” (ไม่เกิน 1 ปี) ได้ดีมากน้อยแค่ไหน โดยเปรียบเทียบระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียน (Current Account) กับหนี้สินหมุนเวียน (Current Liability)
1.อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) ที่จะหาได้จากสินทรัพย์หมุนเวียน หารด้วยหนี้สินหมุนเวียน
ตัวเลขที่ได้จะบอกว่า บริษัทมีเงินสด ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือ มากกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่กี่เท่า เพราะฉะนั้นยิ่งมีมากก็ยิ่งดี เพราะหากอัตราส่วนนี้มีค่าน้อยกว่า 1 อาจแสดงให้เห็นว่า บริษัทอาจจะกำลัง “ขาดสภาพคล่อง”
แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดีเท่าไร เพราะในบรรดาสินทรัพย์หมุนเวียนไม่ได้สร้างรายได้ให้บริษัทมากนัก เพราะคงจะดีกว่าถ้าจะนำเงินสดที่เก็บไว้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าแค่ปล่อยให้เงินนอนเล่นอยู่เฉยๆ หรือคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าบริษัทมี “สินค้าคงเหลือ” อยู่ในสต๊อกมากๆ เพราะมันอาจจะแสดงว่า สินค้าขายไม่ออกก็ได้
และโดยทั่วไปแล้วสินค้าคงคลังไม่ได้เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายนัก เพราะเราบังคับให้ลูกหนี้ค้างชำระให้จ่ายหนี้ได้ แต่จะไปบังคับให้ลูกค้าซื้อสินค้าค้างสต๊อกของเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพื่อให้เห็น “สภาพคล่อง” ที่แท้จริงจึงต้องใช้...
2.อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) ที่หาได้จากการนำสินค้าคงเหลือ (Inventory) มาหักออกจากสินทรัพย์หมุนเวียน จากนั้นจึงหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน
ตัวเลขที่ได้จะเป็น “สภาพคล่องที่แท้จริง” ของบริษัท ซึ่งหากอัตราส่วนออกมาเป็น 1 เท่า แปลว่า ถ้าต้องจ่ายหนี้ระยะสั้นตอนนี้ บริษัทก็มีเงินมาจ่ายได้พอดี
บริหารสินทรัพย์เป็นอย่างไร
เป็นการวิเคราะห์หาความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ของบริษัทว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ทั้งสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวร รวมทั้งสินทรัพย์รวม
กลุ่มแรกเป็นเน้นไปที่การวิเคราะห์ว่า สินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วแค่ไหน (บางตำราจัดการวิเคราะห์ในกลุ่มนี้ไปไว้ในการวัดสภาพคล่องของกิจการ) โดยจะดูว่า บริษัทต้องใช้เวลากี่วันในการเก็บเงินจากลูกหนี้ ฉะนั้นยิ่งลูกหนี้ชำระเงินเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
1.อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) ซึ่งหาได้ 2 วิธี คือ จะใช้ยอดขายเชื่อสุทธิ หรือยอดขายรวม แล้วหารด้วยลูกหนี้การค้าเฉลี่ย
2.ระยะเวลาเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) ก่อนอื่นต้องหาระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยต่อวันก่อน จากการนำยอดขายเชื่อ (หรือจะใช้ยอดขายก็ได้) มาหารด้วย 365 วัน จากนั้นก็นำไปหารจำนวนลูกหนี้การค้า
3.อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) หาได้จากต้นทุนสินค้าขาย (Cost of Goods Sold) หารด้วยสินค้าคงเหลือเฉลี่ย เพราะฉะนั้นยิ่งได้ตัวเลขออกมาสูงก็ยิ่งดี เพราะหมายถึงการขายสินค้าได้เร็ว
4.ระยะเวลาขายสินค้า (Inventory Outstanding Period) โดยใช้ระยะเวลา 365 วัน เป็นตัวตั้ง และหารด้วยอัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ ค่าที่ได้จะเป็นตัวบอกว่า จะใช้เวลากี่วันในการขายสินค้า เพราะฉะนั้นยิ่งใช้เวลาน้อยยิ่งดี
กลุ่มต่อมาเป็นการวัดความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ถาวรและสินทรัพย์รวม
5.อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) หาได้จากการนำยอดขายสุทธิมาหารด้วยสินทรัพย์รวม (Total Assets) ที่จะบ่งบอกว่า บริษัทนี้มีความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ทั้งหมดมากแค่ไหน หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนไปทั้งหมดสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้กี่เท่า เพราะฉะนั้นยิ่งได้มากยิ่งดี
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีค่าเฉลี่ยของอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวมที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นธุรกิจที่ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ อัตราส่วนนี้ก็อาจจะต่ำกว่า 1 เท่าก็ได้ แต่หากเป็นธุรกิจบริการหรือค้าปลีกอัตราส่วนนี้ก็อาจจะสูงได้มากกว่า 10 เท่า
แต่ในสินทรัพย์รวมที่นำมาเป็นตัวหารนั้น มีทั้งที่เป็นสินทรัพย์หมุนเวียน และสินทรัพย์ถาวร เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะดูเฉพาะส่วนสินทรัพย์ถาวรก็ต้องใช้...
6.อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) หาได้จากยอดขายสุทธิหารด้วยสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ถาวรของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน อาคารสำนักงาน เครื่องจักร ก่อให้เกิดรายได้ได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นอัตราส่วนนี้ยิ่งได้ค่าสูง ยิ่งหมายถึงสินทรัพย์ถาวรสร้างรายได้ได้มาก
แต่หากได้ค่าออกมาสูงผิดปกติอาจจะเป็นการแสดงสัญญาณว่า บริษัทอาจจะมีกำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการก็เป็นได้
หนี้นี้บริหารได้ดีหรือไม่
เป็นการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากการกู้ยืมและการชำระหนี้ หรือที่เรียกว่า Financial Leverage Ratio
1.อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio: D/E Ratio) โดยนำหนี้สินรวมหารด้วยส่วนของเจ้าของ
ค่าที่ได้จะบอกให้รู้ว่า เงินทุนที่ใช้อยู่นั้นมาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของในสัดส่วนเท่าใด ซึ่งยิ่งสัดส่วนต่ำยิ่งหมายถึงมีความเสี่ยงต่ำ โดยมากสัดส่วนที่เหมาะสม คือ
1 เท่า ที่แสดงว่าทุนที่ใช้อยู่นั้นเป็นส่วนของเจ้าของ 1 ส่วน และมาจากการก่อหนี้ 1 ส่วน
2.อัตราส่วนหนี้ (Debt Ratio) หาได้จากการนำหนี้สินรวมหารด้วยสินทรัพย์รวม
ค่าที่ได้แสดงให้เห็นว่า ในจำนวนสินทรัพย์ที่มีอยู่นั้น เป็นส่วนที่เกิดจากการกู้ยืมมากน้อยแค่ไหน และมีสินทรัพย์มากพอที่จะจ่ายหนี้หรือไม่ โดยเช่นเดียวกับ D/E Ratio คือ ยิ่งค่าที่ได้ออกมาสูงแค่ไหน ยิ่งหมายถึงความเสี่ยงยิ่งสูงตามไปด้วย
3.ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) หาได้จากกำไรสุทธิหารด้วยดอกเบี้ยจ่าย
เป็นการวัดความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย โดยดูว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้กี่เท่าของดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นยิ่งได้ค่าออกมาสูง แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง
ทำกำไรได้ดีแค่ไหน
การวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ การวัดอัตรากำไรที่ได้จากการขาย และการวัดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
สำหรับการวัดอัตรากำไรที่ได้จากการขาย เป็นการเปรียบเทียบกำไรกับยอดขายว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยสามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรจากยอดขาย และประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าที่ได้ยิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะแปลว่า บริษัททำกำไรได้ดี
อย่างไรก็ตาม การดูเฉพาะส่วนของบริษัทอาจจะไม่ให้ข้อมูลได้เต็มที่นัก แต่ควรจะนำไปเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมและคู่แข่ง เพื่อดูว่าบริษัททำได้ดีกว่าหรือแย่กว่า
1.อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) โดยการนำกำไรขั้นต้น ซึ่งก็คือ ยอดขายหักด้วยต้นทุนสินค้าขาย จากนั้นหารด้วยยอดขายสุทธิ แต่เพราะอัตราส่วนนี้มักจะวัดกันเป็นเปอร์เซ็นต์ จึงต้องคูณด้วย 100
2.อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) หาได้จากการนำกำไรจากการดำเนินงาน คือ กำไรขั้นต้นหักด้วยค่าใช้จ่าย จากนั้นนำไปหารด้วยยอดขาย และคูณ 100
3.อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โดยการนำกำไรสุทธิหารด้วยยอดขาย และคูณ 100 เช่นเดียวกัน
และกลุ่มที่สอง คือ การวัดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
4.อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return On Asset: ROA) หาได้จากการนำกำไรสุทธิหารด้วยสินทรัพย์รวม
ค่าที่ได้เป็นการแสดงว่า บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรจากสินทรัพย์ที่ลงทุนไปมากน้อยแค่ไหน โดยไม่สนใจว่า สินทรัพย์นั้นจากมาจากแหล่งใด เพราะเป็นการคิดจากสินทรัพย์รวม โดยค่าที่ได้ยิ่งสูงยิ่งดี
5.อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity: ROE) หาได้จากการนำกำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น
นักลงทุนอาจจะให้ความสำคัญกับอัตราส่วนนี้มากสักหน่อย เพราะเป็นตัวเลขที่บอกว่า เงินที่ผู้ถือหุ้นลงทุนไปนั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนกลับมามากน้อยแค่ไหน และเป็นธรรมดาที่นักลงทุนจะต้องการได้ ROE สูงๆ
แต่หากบริษัทที่มี ROE สูงมากๆ อาจจะต้องระมัดระวังด้วย เพราะอาจจะเป็นเพราะบริษัท “มีหนี้มาก” ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับอัตราส่วนนี้ต้องมองให้ลึกลงไปอีก
ทั้งนี้ เพราะหากแยกองค์ประกอบของ ROE ออกมา จะเท่ากับอัตรากำไรสุทธิคูณอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม และคูณกับการใช้ประโยชน์จากหนี้สิน ดังนั้นถ้า ROE สูงๆ ที่เกิดจากกำไรและการใช้สินทรัพย์ก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเพราะการใช้หนี้สินก็คงไม่ดีเท่าไร
คุ้มไหมที่จะลงทุน
การวิเคราะห์มูลค่าทางการตลาด (Market Value Analysis) น่าจะเป็นการวิเคราะห์ที่นักลงทุนคุ้นเคยมากที่สุด เพราะเป็นการวัดราคาหุ้นกับการดำเนินงานของบริษัท และหาข้อมูลได้ง่ายมากๆ เพราะในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบทวิเคราะห์จาก บล.มีให้อ่านอยู่เป็นประจำ
แต่อัตราส่วนที่สำคัญ และได้ยินกันบ่อยๆ คือ อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price Earnings Ratio: P/E Ratio) ซึ่งเป็นค่าที่ได้จากการนำราคาหุ้นหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น
อัตรา P/E Ratio สามารถมองได้ในหลายๆ มุม แต่ที่ได้ยินกันบ่อยๆ คือ “พี/อีตลาดหุ้นไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน” เพราะฉะนั้นค่า P/E Ratio ต่ำยิ่งดี แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะหุ้นที่ P/E Ratio ต่ำ อาจเป็นหุ้นที่ไม่มีใครสนใจก็เป็นได้ และ|ถ้า P/E Ratio สูงก็อาจจะเป็นบริษัทที่มี|แนวโน้มจะทำกำไรเพิ่มขึ้นก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีอัตราส่วนอื่นๆ อีกหลายตัว ที่รอให้นักลงทุนนำมาใช้ประโยชน์ จะได้ไม่ไปติดกับดักความโลภ และลงทุนกับบริษัทที่ดีอย่างมีความสุข


