posttoday

เศรษฐกิจไทยดื้อยา พ.ร.ก.กู้เงิน1.9ล้านล้านบาท

26 มิถุนายน 2563

กลายเป็นประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจไทยปี 2563 ที่ขยายตัวติดลบมากที่สุด 8.1% จนวิกฤตต้มยำกุ้งต้องเสียแชมป์เพราะปี 2541 ติดลบ 7.6%

ว่ากันไปแล้วประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแบบนี้ไม่ใครอยากได้ ไม่มีใครอยากเป็นแชมป์ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไวรัสโควิด-19 พ่นพิษเศรษฐกิจไทยหนักหนาสาหัสไปทุกหย่อมหญ้า ไม่มีใครไม่ได้รับความเดือดร้อนหลังจากการหยุดกิจการทางเศรษฐกิจทั้งประเทศเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อโควิด

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2563 คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.5% พร้อมกับปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายติดลบ 8.1% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 5.3% (คาดการณ์เดือนมี.ค.2563) เรียกได้ว่า บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น จนตลาดหุ้นขานรับติดลบทันที

เศรษฐกิจไทยที่ยังตกแรง เพราะเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทบทุกตัวดับสนิท จากข้อมูลของ กนง. คาดการณ์ว่าการส่งออกจะติดลบเพิ่มเป็น 10.3% จากเดิมติดลบ 8.8% โดยกระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขการส่งออกล่าสุดเดือน พ.ค. ติดลบ 22.50% ทำสถิติติดลบมากสุดในรอบ 150 เดือน ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่กระทรวงพาณิชย์ไม่อยากได้เช่นกัน

ด้านการท่องเที่ยว กนง. คาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยเพียง 8 ล้านคนเท่านั้น จากเดิมคาดว่า 15 ล้านคน ไม่ต้องไปเทียบกับภาวะปกติที่นักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทยปีละ 40 ล้านคน

ส่วนการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าติดลบ 3.6% จากเดิมติดลบ 1.5% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ติดลบถึง 13.8% จากเดิม 4.3% ซึ่งถือว่าติดลบเพิ่มขึ้นมาก เพราะทั้งประชาชนและนักลงทุนผวาโควิดไม่กล้าใช้จ่ายไม่กล้าลงทุน โดยมีเพียงการลงทุนภาครัฐเท่านั้นที่ยังขยายตัวเป็นบวก 5.8% เท่าคาดการณ์เดิม ที่ กนง ประมาณการไว้เดือน มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา

กนง. และ สำนักเศรษฐกิจต่างๆ ประมาณการณ์ตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์อีก ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกลับมารุนแรงอีกหรือไม่ โดยเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ติดลบลึกที่สุดในไตรมาส 2 นี้

สอดคล้องกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกตัวตลอดว่าไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ระบุว่า เศรษฐกิจเไทยดือน ก.ค. 2563 จะอาการหนัก เพราะเงินเยียวยาที่รัฐบาลแจกให้คน 5,000 บาท 3 เดือน จะหมดแล้ว ดังนั้นจะเห็นมีธุรกิจที่ทยอยปิดตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น การส่งออกยังไม่ฟื้น โรงงานยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมา ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งการใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของ 4 แสนล้านบาท ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วที่สุด

เมื่อพูดถึง พ.ร.ก. กู้เงิน ทำให้เกิดคำถามคำโตว่า พ.ร.ก. ที่รัฐบาลออกมา 3 ฉบับ วงเงินรวมกัน 1.9 ล้านล้านบาท ทำไมไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นไข้จากโควิด-19 เลยแม้แต่น้อย

เพราะจากการประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ กนง. เห็นได้ชัดว่า ตอนประมาณการเดือน มี.ค. นั้น เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 5.3% หลังจากนั้นไม่นานก็มีการออกพ.ร.ก. 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาตร์เช่นกัน แต่การประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดเมื่อปรากฎว่า เศรษฐกิจไทยทรุดลงไปถึงลบ 8.1% มากกว่าตอนมี พ.ร.ก. เสียอีก

ทำไมเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยดื้อยา พ.ร.ก. 1.9 ล้านล้านบาท หรือ ว่า พ.ร.ก. 1.9 ล้านล้านบาท ยังเป็นยาที่แรงไม่พอที่จะรักษาอาหารป่วยโคม่าของเศรษฐกิจไทย

เมื่อลองไปดูการออกฤทธิ์ของ พ.ร.ก. แต่ละตัวจะพบว่า ในส่วนแรก พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ อุตตม สาวนายน รมว.คลัง ออกมายอมรับว่าไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็น รมว.คลัง ในประวัติศาตร์ที่กู้เงินมากที่สุด ในส่วนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรก 6 แสนล้านบาท เป็นการเยียวยา 5,000 บาท 3 เดือนบ้าง หรือ 1,000 บาท 3 เดือนบ้าง ให้กับเกือบทุกคนทั่วไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด หมดเงินไปแล้วประมาณ 4 แสนล้านบาท เหลือเงินอยู่ 2 แสนล้านบาท ที่รอใช้เยียวยาเพิ่มต่อไป

ส่วนที่สอง คือ เงินกู้ 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีหน่วยงานต่างๆ เสนอโครงการใช้เงินรวมทุกแผนงาน จำนวน 43,851 โครงการ วงเงินกว่า 1.36 ล้านล้านบาท สูงกว่าเงินกู้ 3 เท่า เงินก้อนนี้ถูกมองว่าเป็นเบี้ยหัวแตก เป็นงบจัดสรร ไม่เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจจริง

สำหรับ พ.ร.ก. เงินกู้ซอฟท์โลน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 5 แสนล้านบาท ที่ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0.1% เพื่อไปปล่อยกู้ต่อให้เอสเอ็มอีในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ปรากฎว่ามาตรการนี้ไม่ทำงาน ปล่อยกู้ไปได้เพียง 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เพราะธนาคารพาณิชย์กลัวหนี้เสียไม่กล้าปล่อย และที่ปล่อยไปก็ให้กับลูกค้าดีของธนาคารไม่ได้เดือดร้อนจริง กลายเป็นคนอยากได้เงินกู้ไม่ได้ ส่วนคนไม่อยากได้ก็ได้

สุดท้าย พ.ร.ก.ซื้อหุ้นกู้เอกชน ของธปท. วงเงิน 4 แสนล้านบาท ต้องถือว่ามาตรการนี้ตายสนิท เพราะตั้งแต่ตั้งกองทุนมายังไม่ได้เข้าไปซื้อตราสารหนี้ใครเลย เพราะเรทติ้งไม่ดีกองทุนที่ ธปท. ตั้งขึ้นเข้าไปซื้อไม่ได้

เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับหมด ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว ซึ่งล้วนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยจริงทรุดลงต่อเนื่อง

ยิ่งเศรษฐกิจไทยมาดื้อยา พ.ร.ก. 1.9 ล้านล้านบาท หรือ พ.ร.ก. 1.9 ล้านล้านบาท เป็นยาผิดสูตร เป็นยาหมดอายุเร็ว ทำให้ช่วยรักษาเศรษฐกิจไทยไม่ได้ ดังนั้นการประมาณเศรษฐกิจไทยครั้งหน้าของ ธปท. น่าจะสร้างประวัติศาสตร์ต่ำที่สุดของประเทศอีกครั้ง

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค. 68