posttoday

กฟผ.คว้าเทคโนโลยีญี่ปุ่น พัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ลดต้นทุนการผลิต

05 กุมภาพันธ์ 2563

กฟผ.ผนึก NEDOและมารูเบนิ เอ็มโอยู ดึงเทคโนโลยีดิจิทัล หนุนงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ มุ่งยกระดับกระบวนการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยภายหลังร่วมพิธีความร่วมมือนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนการทำงานโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่11 และ 13 ระหว่างองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO)ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท มารูเบนิ จำกัด ว่า กฟผ.สนใจนำเทคโนโลยีดิจิทัลจากประเทศญี่ปุ่นมาใช้สนับสนุนการทำงานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการจัดหาเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อนำมาใช้พัฒนางานด้านการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้ายกระดับกระบวนการผลิตไฟฟ้า ลดต้นทุนในการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานของประเทศ

รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จะช่วยสนับสนุนการทำงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ อาทิ การเชื่อมต่อข้อมูลเดินเครื่องและบำรุงรักษาด้วยระบบ IoT การนำ AI มาวิเคราะห์และช่วยปรับปรุงค่า Heat Rate การใช้ระบบติดตามเพื่อตรวจจับความผิดปกติซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และระบบวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านการเงิน ความเสี่ยง และโอกาสในการผลิต

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับองค์การเนโดะ ประเทศญี่ปุ่น ครั้งแรก และยังเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท มารูเบนิ จำกัด เป็นครั้งที่ 3 เพื่อดำเนินการติดตั้งและนำระบบดิจิทัลมาใช้งานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง โดยมีกรอบระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ ปี 2563 เป็นการติดตั้งระบบ และในปี 2564 – 2565 จะเป็นการทดสอบใช้งานจริง

ทั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายเมื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้งานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 11 และ 13 ว่าจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 0.45% โดยก่อนหน้านี้ กฟผ. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 กับบริษัท มารูเบนิ จำกัด เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 และวันที่ 31 กรกฎาคม 2561

สำหรับโครงการความร่วมมือนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของบริษัท มารูเบนิ จำกัด และองค์การ เนโดะ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ “โครงการสนับสนุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำและการตลาดของภาคเอกชน”โดยเล็งเห็นว่า รัฐบาลไทยมีมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าโดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่ยังเดินเครื่องอยู่ในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันกฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าหลักของประเทศไทยควบคู่กับการดูแลใส่ใจสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม มุ่งตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว จึงสนใจการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรในประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้เป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป

ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 11 และ 13 มีกำลังการผลิตหน่วยละ 300 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังผลิตทั้งสิ้น 600 เมกะวัตต์ โดยใช้ถ่านหินลิกไนต์จากเหมืองที่อยู่ในบริเวณพื้นที่โรงไฟฟ้ามาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า