posttoday

ปักหลักสู้คดีค่าโง่โฮปเวลล์ จ่อยื่นศาลปกครอง เช็คบิลย้อนหลังครม.ทุกชุดที่เกี่ยวข้อง

28 ตุลาคม 2562

จับตาคมนาคมยื่นฟ้องศาลปกครองฯ คดีค่าโง่โฮปเวลล์ หลังพบ 20 ปมพิรุธต้นตอทำให้รัฐเสียประโยชน์ ฟันธงรัฐบาลต้องไม่เสียค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว

จับตาคมนาคมยื่นฟ้องศาลปกครองฯ คดีค่าโง่โฮปเวลล์ หลังพบ 20 ปมพิรุธต้นตอทำให้รัฐเสียประโยชน์ ฟันธงรัฐบาลต้องไม่เสียค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีพิพาทค่าชดเชยโครงการโฮปเวลล์ 2.5 หมื่นล้านบาท เเบ่งเป็นเงินต้น 1.2 หมื่นล้านบาท และ อัตราดอกเบี้ย 1.3 หมื่นล้านบาท ว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมพบปมข้อพิรุธมากกว่า 20 ข้อ และเตรียมส่งฟ้องศาลปกครองกลาง ในคดีอาญา ฐานทำรัฐบาลเสียผลประโยชน์ ซึ่งมั่นใจว่าจะชนะคดีอย่างแน่นอน โดยที่ภาครัฐไม่ต้องเสียค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว เพราะมองว่าคดีอาญาในลักษณะนี้ ฝ่ายเอกชนอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบและมีโอกาสมากที่จะแพ้คดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมเจรจาของฝ่ายเอกชนได้ขอให้กระทรวงคมนาคมชะลอการยื่นฟ้องศาลเพื่อมาเปิดโต๊ะเจรจา

สำหรับแนวทางการต่อสู้คดี นั้น จะยื่นฟ้องบริษัทเอกชนในคดีอาญา ซึ่งหากศาลตัดสินให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ชนะคดี จะทำให้ล้างไพ่คำตัดสินของศาลเรื่องค่าชดเชย ออกทั้งหมดเพราะถือว่าการทำสัญญาก่อสร้างโฮปเวลล์เป็นโมฆะไปตั้งแต่แรก จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใดใด ทั้งยังสามารถฟ้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเข้าข่ายทุจริตได้อีกด้วย

ทั้งนี้คดีค่าโง่ ดังกล่าวมีผู้สมรู้ร่วมคิดทำกันเป็นขบวนการจงใจให้ภาครัฐเสียผลประโยชน์ ขณะที่การเข้ามาลงทุนของบริษัทเอกชน โดยหวังรวยจากการได้รับค่าโง่ ถือเป็นแผนที่มีการวางหมากมาตั้งแต่แรก เริ่มจากคำประกาศคณะปฏิวัติตั้งแต่ปี 2534 ที่กำหนดให้กิจการด้านขนส่งมวลชน ต้องมีบริษัทผู้รับงานก่อสร้างและบริการเป็น บริษัทสัญชาติไทย กล่าวคือ มีคนไทยถือหุ้นมากกว่า 51% ซึ่งทางเอกชนได้ไปแอบอ้างขอจดทะเบียนเป็นบริษัทพิเศษซึ่งมีต่างชาติถือหุ้นมากกว่า 51% พร้อมอ้างว่าได้รับมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทว่าเมื่อตรวจสอบกลับพบว่าไม่มีมติจาก ครม. ทั้งยังมีข้อสังเกตว่าการอนุมัติโครงการเป็นไปอย่างรวดเร็วและรวบรัด ทั้งที่แผนงานไม่มีความชัดเจน ซึ่งอยู่ในยุค นายมนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม และมี พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี (2532-2535)

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากนั้นโครงการเกิดปัญหาจนต้องยกเลิกสัญญา ซึ่งอยู่ในยุค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อสังเกตว่ามติครม.บอกเลิกสัญญา อาจมีการจงใจให้เป็นค่าโง่ที่รัฐต้องจ่ายให้เอกชน เพราะหากรัฐบาลทำการยกเลิกสัญญาแบบทั่วไปคือยึดตามกรอบสัญญาและ TOR ฝ่ายเอกชนจะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐได้ เพราะรัฐเสียประโยชน์ ทว่ามีการพลิกแพลงให้เป็นการยกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เปิดช่องให้เอกชนยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือเป็นข้อผิดพลาดที่เป็นภาระมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นรัฐบาลชุดปัจจุบันจะดำเนินการทุกกรณีเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดและผู้ร่วมขบวนการมารับโทษที่ได้ก่อไว้ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถเอาผิดย้อนหลังไปได้

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมารฟท.ตกอยู่ในสถานะน้ำท่วมปากทุกยุคทุกสมัย ไม่สามารถขัดขืนการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลจากฝ่ายบริหาร ทั้งกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล ตลอดจนไม่สามารถเปิดโปงต้นตอของปัญหาได้ ส่งผลให้รฟท.ต้องเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ได้รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะไม่มีใครอยากกระเด็นหลุดจากตำแหน่ง ไม่มีใครอยากมีปัญหากับผู้บังคับบัญชา จนกระทบต่อหน้าที่การงาน

อย่างไรก็ตามโครงการโฮปเวลล์สิ้นสุดลง โดยผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมถึง 6 คน ประกอบไปด้วย
1. นายมนตรี พงษ์พานิช รัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ (2532-2535) ริเริ่มโครงการในปี 2532
2.นายนุกูล ประจวบเหมาะ รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน (2534-2535) เป็นรัฐบาลที่เข้ามาภายหลังรัฐประหาร มีการสั่งการให้ตรวจสอบและล้มโครงการ
3. พ.อ.วินัย สมพงษ์ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย (2535-2538) โครงการได้รับการผลักดันต่อ
4.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา (2538-2539)
5. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ์ (2539-2540) เป็นช่วงที่โครงการโฮปเวลล์หยุดก่อสร้างโดยสิ้นเชิง นายสุวัจน์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ได้เสนอ ครม. ให้บอกเลิกสัมปทาน
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่สอง คณะรัฐมนตรีมีมติบอกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2540 โดยกระทรวงคมนาคม มีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาและห้ามไม่ให้โฮปเวลล์ เข้าไปเกี่ยวข้องใด ๆ ในพื้นที่โครงการในวันที่ 27 ม.ค. 2541

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025