QE2 กับ Currency War รอบใหม่
....ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์
ปัจจุบันมีการกล่าวกันมาก ถึงคำว่า Currency War ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยแตกต่างกันไป เป็นต้นว่า สงครามอัตราแลกเปลี่ยน สงครามค่าเงิน ฯลฯ ซึ่งหมายถึง Competitive Devaluation กล่าวคือ สงครามที่แต่ละประเทศต่างพยายามลดค่าเงินของตนเอง เพื่อช่วยเหลือธุรกิจภายในประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
ในอดีตที่ผ่านมาประเทศต่างๆ พยายามคุ้มครองสินค้าภายในประเทศ โดยเก็บอากรขาเข้าในอัตราสูง พร้อมทั้งอุดหนุนการส่งออก แต่เมื่อมีการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ทำให้อัตราอากรขาเข้าลดลงเป็น 0% และ Currency War กลายมาเป็นมาตรการสำคัญในการคุ้มครองธุรกิจในประเทศแทน
กรณีของประเทศไทย ก็ได้เคยลดค่าเงินอย่างไม่สมัครใจมาก่อนหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อปี 2540 เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ทุนสำรองระหว่างประเทศลดต่ำลงมาก ทำให้ไม่สามารถคงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ได้ และได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นและทุนสำรองเพิ่มมากขึ้น ก็ยังพยายามแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคงค่าเงินบาทที่ระดับต่ำเอาไว้ แต่ระยะหลังไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยค่าเงินบาทในปัจจุบันแข็งตัวเข้าใกล้ช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น
ปัญหาสำคัญ คือ สหรัฐขาดดุลการค้าจำนวนมาก ก็พยายามบีบบังคับใช้ประเทศอื่นๆ ที่เกินดุลการค้ากับตนเอง เพิ่มค่าเงินขึ้น รวมถึงขอให้ลดการแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนลง เพื่อให้ค่าเงินขึ้นลงตามกลไกตลาด ซึ่งในอดีตได้มีความพยายามแก้ไขข้อพิพาทข้างต้นโดยสันติวิธี เช่น เมื่อ 25 ปีมาแล้ว ได้เปิดเจรจากันที่โรงแรมพลาซาในนครนิวยอร์ก ระหว่างตัวแทนของรัฐบาล 5 ประเทศ คือ เยอรมนีตะวันตก ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสหรัฐ และจัดทำข้อตกลงที่เรียกว่า Plaza Accord ขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2528 โดยตกลงที่จะให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐ อ่อนตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่นและค่าเงินมาร์กของเยอรมนีตะวันตก
สถานการณ์ในขณะนั้นและปัจจุบันแตกต่างกันไป แต่ต้นตอของปัญหายังเป็นประเทศเดิม คือ สหรัฐที่ประสบปัญหาขาดดุลการค้าจำนวนมากมายต่อเนื่อง แต่ผู้เกินดุลการค้าเปลี่ยนจากญี่ปุ่นมาเป็นประเทศจีน ซึ่งสหรัฐวิพากษ์วิจารณ์ว่าจีนเป็นอุปสรรคขัดขวางการสร้างดุลยภาพทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเกินดุลการค้ามากมายมหาศาล ดังนั้น จึงควรเลิกแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและปล่อยให้เงินสกุลของตนเองแข็งค่าเพื่อลดการเกินดุลการค้า
สหรัฐหวังว่าหากกดดันจีนสำเร็จ ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย จะยินยอมให้เงินของตนแข็งค่าขึ้นตามจีนซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดส่งออก ขณะที่จีนยังกังวลใจว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะบทเรียนของญี่ปุ่นที่ภายหลังการเพิ่มค่าเงินเยนตามข้อตกลง Plaza Accord ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นเวลายาวนานนับสิบปี จีนจึงพยายามปล่อยให้ค่าเงินหยวนของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เป็นต้นว่า ระหว่างเดือน มิ.ย.
–ต.ค. 2553 เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 2% ซึ่งไม่ทันใจสหรัฐปัจจัยเร่งให้เกิด Currency War รอบใหม่ คือ เศรษฐกิจสหรัฐ ยังฟื้นตัวแบบอ่อนๆ ไม่รวดเร็วตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดย IMF ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2553 จะเติบโตในอัตรา 2.6% และมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงเหลือ 2.3% ทำให้อัตราการว่างงานยังอยู่ระดับสูงถึง 9.6% ไม่สามารถลดลงอย่างรวดเร็วได้ในระยะสั้น
เมื่อไม่มีทางเลือกใดที่ดีกว่านี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐได้มีมติเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2553 เกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ด้วยวงเงิน 600 พันล้านเหรียญสหรัฐ กำหนดดำเนินการภายในสิ้นไตรมาส 2 ของปี 2554 เพื่อเร่งรัดให้เศรษฐกิจฟื้นตัวรวดเร็วยิ่งขึ้น
มาตรการ QE2 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าเหมือนกับสหรัฐ หยิบยื่นยาพิษให้กับประเทศอื่นๆ เพราะทำให้ปริมาณเงินเหรียญสหรัฐไหลไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้แข็งตัวมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ภาคธุรกิจของสหรัฐส่งออกสินค้าและบริการไปจำหน่ายได้มากขึ้น
นาย Guido Mantega รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของบราซิล ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับสงคราม Currency War ที่กำลังเกิดขึ้น โดยพยากรณ์ว่ามาตรการ QE2 ไม่เกิดประสิทธิผลแต่อย่างใด การทิ้งเงินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
ส่วนนาย Wolfgang Schauble รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนี กล่าวว่า ขณะที่สหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์จีนเกี่ยวกับการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน แต่สหรัฐกลับดำเนินพฤติกรรมเช่นนี้เสียเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
ขณะที่นาย Raghuram G. Rajan อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ก็กล่าวว่า QE2 เป็นนโยบายการเงินที่ผลกระทบหลักไม่ใช่เพิ่มการจับจ่ายใช้สอยภายในสหรัฐ แต่เป็นผลกระทบต่อตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ จึงเปรียบเสมือนกับการที่สหรัฐเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง


