ชมจันทร์ ณ ชาง-คยองกุง (City Renewal 12)
ทันทีที่ก้าวเท้าข้ามประตูหน้าเข้าไปในพระราชวังชาง-คยอง
โดย ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย [email protected]
ทันทีที่ก้าวเท้าข้ามประตูหน้าเข้าไปในพระราชวังชาง-คยอง พวกเราก็รู้สึกได้ทันทีว่า มีกระแสพลังเย็นแปลกๆ ไหลมาวนเวียนรอบๆ ตัว “ฮัว” นักข่าวสาวชาวเวียดนามเพื่อนร่วมทีมใจกล้าที่อาสามาชมจันทร์ในยามดึกด้วยกัน ณ พระราชวังโบราณแห่งนี้ขยับตัวมาใกล้ๆ กับ “เชกา” พลางยกมือลูบแขนตนเองที่กำลังขนลุกซู่ขึ้นมา กลุ่มที่มาด้วยกัน 4-5 คน จากที่เดินตัวใครตัวมันก็กลับเข้ามาเดินเกาะกลุ่มไปเป็นก้อนคล้ายฝูงลูกปลาช่อนตัวแดงๆ ที่ไปไหนก็ว่ายติดกันเป็นกลุ่ม ด้วยยังเล็กนักลูกปลาจึงต้องให้แม่ปลาที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปป้องกันภัยให้ แต่พวกเราเป็นไปโดยอัตโนมัติ มิรู้ว่าระแวงภัยอะไร...
คืนนี้พระจันทร์ดวงโตเต็มดวง อากาศในเดือน พ.ย.นี้ หนาวจนเข้ากระดูก จะเป็นเพราะเริ่มต้นฤดูหนาวแล้วหรืออะไรก็แล้วแต่ พวกเราเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเพราะอากาศภายนอกรั้วพระราชวังที่ผ่านมาเมื่อครู่ ดูเหมือนจะอบอุ่นกว่ามาก จิตใต้สำนึกของแต่ละคนเริ่มปรุงแต่งไปต่างๆ นานา สมองเริ่มขุดเอาประสบการณ์กลัวผีตอนเด็กขึ้นมาหลอกหลอนกันอีกครั้ง
ด่านแรก ที่พวกเราฝ่าเข้ามา คือ ประตู “ฮงฮวามุน” ซึ่งเป็นประตูหน้าด่านของพระราชวังชาง-คยอง ทีมเกาหลีผู้จัดโปรแกรมทัวร์คืนนี้ โบกมือบ๊ายบายให้กำลังใจอยู่ด้านนอก (พลางบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า มาหลายรอบแล้ว) แม้แต่ประตูก็แปลกกว่าชาวบ้านเขา ประตูพระราชวังอื่นๆ ของอาณาจักรโชซอน จะสร้างโดยวางแนวทิศเหนือ-ใต้ ตามพระราชประเพณีแห่งราชวงศ์อย่างเคร่งครัด แต่พระราชวังนี้ วางแนวตะวันออกไปตะวันตกซึ่งเป็นประเพณีนิยมในสมัยอาณาจักรโคเรียวที่ล่มสลายไปก่อนหน้านี้
จะว่าไปแล้ว ที่ดินผืนที่ตั้งพระราชวังนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก่อนที่บรรพบุรุษราชวงศ์โชซอนจะตีราชวงศ์โคเรียวจนราบคาบและปราบดาภิเษกตั้งราชวงศ์ใหม่เมื่อ 600 กว่าปีก่อนเสียอีก ในราว ค.ศ. 1104 หรือเกือบพันปีก่อนหน้า ในขณะที่เมืองหลวงของอาณาจักรโคเรียวอยู่ที่เมืองแกซอง (ในเขตเกาหลีเหนือปัจจุบัน) พระเจ้าซุกจงแห่งโคเรียวเคยใช้บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของพระราชวังฤดูร้อนที่ให้ความสำราญแก่บรรดาเชื้อพระวงศ์ในสมัยโคเรียวมาแล้ว ด้วยเหตุนี้กระมังจึงทำให้ทิศของประตูแปลกไป ต่อมาเมื่อราชวงศ์โชซอนครอบครองคาบสมุทรเกาหลีได้ทั้งหมด“พระเจ้าแทโจ” ปฐมกษัตริย์ของโชซอน (เดิมคือ แม่ทัพของโคเรียว พระนามว่า “อี ซอง กเย”)ได้มีพระราชดำริให้ย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองฮันยาง ซึ่งก็คือบริเวณกรุงโซลในปัจจุบัน
ว่ากันว่า เมื่อ “พระเจ้าแทโจ” ขึ้นครองราชย์แล้ว การที่ตัวท่านเองเป็นแม่ทัพของอาณาจักรโคเรียวแล้วไปยึดอาณาจักรมาเป็นของตน ทำให้ในเมืองหลวงแกซองยังคงมีกลุ่มคนที่ไม่สามารถยอมรับได้และสร้างขบวนการต่อต้านเพื่อเอาราชวงศ์โคเรียวกลับมาอย่างลับๆ จึงต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะตัดตอนขบวนการใต้ดินที่กำลังแผ่ขยายไปในหมู่ไพร่พล การหันเหความสนใจด้วยการย้ายถิ่นฐานที่อยู่ของประชาชนไปพร้อมๆ กันทั้งหมดจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดี และพระเจ้าแทโจก็รู้สึกไม่สบายพระทัยที่จะประทับอยู่ในพระราชวังเดิมของราชวงศ์โคเรียวด้วย จึงได้สรรหาสถานที่ตั้งเมืองหลวงใหม่
ตัวเลือกของเมืองหลวงใหม่มีหลายที่ แต่เมืองฮันยางซึ่งอยู่ทางใต้ของแกซองมาอันดับหนึ่ง เพราะมีข้อดีหลายประการ เช่น การคมนาคมระหว่างแกซองกับฮันยางมีถนนหนทางแล้ว ไปมาสะดวก เมืองล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำเป็นปราการตามธรรมชาติที่ข้าศึกศัตรูต้องฝ่าเข้ามาก่อนจะประชิดถึงเมือง และที่สำคัญ ฮันยางมีที่ราบ “ลุ่มแม่น้ำฮัน” ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ สามารถผลิตอาหารเลี้ยงชาวเมืองได้ ข้อดีอย่างหลังน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เลือกฮันยาง และเป็นตัวเร่งให้ย้ายโดยเร็วด้วย เพราะในแง่มุมของไพร่ฟ้าประชาชนไม่ว่าจะสมัยไหน จะชนชาติใดก็ตาม ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องที่สำคัญขนาดล้มล้างแผ่นดินกันมาแล้วในประวัติศาสตร์ หากต้องการชนะใจประชาชนก็ต้องมุ่งเรื่องนี้ละค่ะ
พระเจ้าแทโจจึงเร่งแผนการสร้างเมืองหลวงใหม่ ตัวท่านเองรุดลงมาจาก “แกซอง”ก่อนที่พระราชวังใหม่จะสร้างเสร็จ และระหว่างรอการก่อสร้างพระราชวังใหม่ ซึ่งก็คือ “พระราชวัง คยองบ๊ก” ในปัจจุบันนี้ รวมถึงกลุ่มอาคารว่าราชการของทางการ ป้อมปราการบ้านเรือนประชาชนทั้งหลาย ท่านก็ได้ใช้บริเวณพระราชวังฤดูร้อนเดิมของโคเรียวซึ่งตั้งอยู่บริเวณนี้ เป็นที่ประทับบัญชาการก่อสร้างไปก่อน
ผ่านไปสู่รัชสมัยที่ 4 ในรุ่นเหลน ในปี ค.ศ. 1418 คือ “พระเจ้าเซจงมหาราช” (ผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลี) มีพระราชดำริให้สร้างพระราชวังที่ประทับใหม่ของพระราชบิดาของพระองค์เองที่สละพระราชบัลลังก์มังกรให้ เพื่อให้อดีต “พระเจ้าแทจง” พระราชบิดาทรงพระสำราญกว่าอยู่ในพระราชวังเดียวกัน จึงได้ใช้ที่พระราชฐานโบราณนี้เป็นสถานที่ก่อสร้างพระราชวังใหม่ ชื่อว่า พระราชฐาน “ซูกังกุง-수강궁” จึงทำให้บริเวณนี้เป็นที่พำนักของเชื้อพระวงศ์มาตลอด
60 ปีให้หลังถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าซอนจง” ก็ได้ก่อสร้างขยายพระราชฐานและหมู่อาคารเพิ่มมากขึ้นจนใหญ่โต เพื่อให้อดีตพระราชินีและนางสนมกำนัลในกษัตริย์องค์ก่อนหน้าที่สวรรคตไปแล้ว ได้มาพำนักรวมกันในพระราชวังแห่งนี้ และตั้งชื่อใหม่ว่า “พระราชวังชาง-คยอง” ซึ่งมีอาณาเขตของสวนด้านหลังติดกับ “พระราชวังชางด๊อก” จึงเรียกรวมกันว่า พระราชฐานตะวันออก หรือ “ตง กวาน”
(อ่านต่อฉบับหน้า)


