เมื่อจูหยวนจางห้ามใช้‘เงิน’ นอกกฎหมายกลายเป็นความเข้มแข็ง
ราชสำนักจีนให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบและวัสดุที่ใช้ทำเงินตราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ราชสำนักจีนให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบและวัสดุที่ใช้ทำเงินตราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของผู้ครองแผ่นดินจีนที่ผลัดเปลี่ยนกันไป
ทองแดง เหล็ก กระดาษ จึงต้องถูกประทับและจัดรูปแบบด้วยอำนาจของทางการ จึงกลายเป็นเงินตราที่ประชาชนใช้จับจ่ายได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ราชสำนักมี
หน้าที่กำหนดและผลิตเงิน
แต่ “แร่เงิน” ต่างออกไป ช่วง 500 ปีหลังของยุคราชวงศ์จีน แม้ “แร่เงิน” จะถูกใช้เป็นเครื่องมือจับจ่ายใช้สอยอย่างกว้างขวาง แต่ราชสำนักจีนกลับไม่เคยนำมาทำเป็นเหรียญให้ประชาชนใช้สอยเลย
ชาวจีนยุคนั้นพกเงินเป็นก้อนเล็กๆ ชั่งน้ำหนักเพื่อบอกมูลค่าเมื่อใช้จ่าย ถ้าก้อนใหญ่ไปก็ใช้กรรไกรตัดแบ่งเอาหน้างาน
ราชสำนักหมิงมีก้อนเงินมาตรฐานแต่เป็นก้อนขนาดใหญ่ ส่วนถ้าจะมี “แร่เงิน” ในรูปแบบเหรียญย่อย ก็ล้วนนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น จนชาวจีนเรียกเหรียญเงินพวกนี้ว่า เงินฝรั่ง (洋钱, 现大洋, 番钱)
การตราเงินเหรียญออกมาเป็นมาตรฐานของรัฐ ย่อมช่วยให้ประชาชนสะดวก ไม่ต้องมาชั่งตวงวัดกันหน้างาน และหากรัฐต้องการเพิ่มเงินในคลังกะทันหัน ก็ยังใช้เทคนิคลดปริมาณโลหะของตัวเหรียญลงได้อีกแรง
เช่น เอาเหรียญรุ่นเก่า 10 เหรียญ มาหลอมกลายเป็นเหรียญรุ่นใหม่ 11 เหรียญ รัฐก็จะรวยขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ในบัดดล - แต่มักตามมาด้วยเงินเฟ้อในที่สุด
ข้อดีของการตราเหรียญยังมีอีกมาก แล้วทำไมปลายยุคราชวงศ์จีนจึงปล่อยให้ประชาชนใช้จ่ายด้วยก้อนเงิน โดยไม่คิดทำเป็นเหรียญออกมา?
หนึ่งในเหตุผลคือ เมื่อตอนเริ่มต้น แร่เงินคือเงินเถื่อนที่ทางการไม่ยินดี
โดยเริ่มต้นที่ฮ่องเต้จูหยวนจาง...
ต้นราชวงศ์หมิง เศรษฐกิจหลังสงครามตั้งราชวงศ์ถดถอย ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางจึงคิดเพิ่มความมั่นคงเข้าคลังด้วยการใช้ธนบัตรมาเล่นแร่แปรธาตุ
ขออธิบายก่อนว่า ธนบัตรนั้นแปลก เพราะมันไม่มีค่าในตัวมันเอง ปัจจุบันแต่ละประเทศจึงต้องมีระบบค้ำประกันการพิมพ์ธนบัตรด้วยโลหะมีค่า เพื่อมิให้รัฐพิมพ์ธนบัตรออกมาตามใจชอบ อันจะนำไปสู่วิกฤตเงินเฟ้อ
แต่แม้ปัจจุบันจะรู้กลไกนี้ ก็ยังมีรัฐสมัยใหม่ที่จนตรอก ต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จ่ายเมื่อถังแตก จนเกิดวิกฤตเงินเฟ้ออยู่ดี
แล้วในยุคที่ธนบัตรเพิ่งถูกคิดค้นขึ้นใหม่ๆ โดยไม่มีระบบค้ำประกันใดๆ จะเหลือหรือ
ราชวงศ์ซ่งซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์ธนบัตรมาใช้เป็นครั้งแรกในโลก จึงต้องพบกับวิกฤตเงินเฟ้อเป็นครั้งแรกในโลกไปด้วยเช่นกัน
ความเย้ายวนของความมั่งคั่งจากการพิมพ์ธนบัตร ยากที่ราชสำนักใดจะต้านทาน ราชวงศ์หยวน - ราชวงศ์ถัดมาก็ซ้ำรอย
มาถึงราชวงศ์ใหม่ - ราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้จูหยวนจางคิดว่าที่ระบบธนบัตรทำเศรษฐกิจล่ม ก็เพราะการควบคุมไม่เข้มงวดพอ
ใครรู้ประวัติจูหยวนจางคงไม่แปลกใจ ฮ่องเต้องค์นี้ไม่ว่าปัญหาไหนก็คิดแก้ไขด้วยมิติของความเข้มงวดทั้งสิ้น
และเพราะจูหยวนจางมีพื้นฐานจากชีวิตจากคนยากคนจนที่ผันตัวสู่นักรบโดยทันที ความรู้เรื่องกลไกการเงินที่มีจึงติด Handicap เป็นธรรมดา
ที่จริงแรกเริ่มจูหยวนจางออกกฎห้ามใช้ธนบัตร ให้ใช้เหรียญทองแดงซื้อขายได้เพียงอย่างเดียว แต่ 8 ปีหลังขึ้นครองราชย์ เงินในคลังของแผ่นดินก็ยังไม่ได้ดั่งใจ
จูหยวนจางคิดใช้ธนบัตรมาแก้เกม แถมจริงจังในการออกแบบเสียด้วย ธนบัตรแห่งราชวงศ์หมิง User Friendly กว่าในอดีต นอกจากมีตัวหนังสือบอกมูลค่า ยังมีภาพกราฟฟิกพวงอีแปะสื่อราคา ตาสีตาสาเข้าใจได้ จูหยวนจางกะให้ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่รากหญ้ายันหอคอยงาช้าง
แต่ User Friendly มากับกฎที่ไม่ Friendly เท่าไหร่ ราชสำนักตั้งกฎไว้ ประชาชนเอาเหรียญทองแดงมาแลกธนบัตรไปได้ แต่ห้ามเอาธนบัตรมาแลกเหรียญทองแดงจากราชสำนัก
อ้าวเฮ้ย... ไม่แฟร์นี่หว่า... ธนบัตรย่อมเสื่อมความนิยมจากประชาชนอย่างรวดเร็ว
ไม่เป็นไร ความนิยมเกิดได้ เมื่อเข้มงวด... จูหยวนจางคิด
จูหยวนจางออกกฎเข้ม อนุญาตให้ซื้อขายของด้วยธนบัตรหรือเหรียญทองแดงเท่านั้น ใครบังอาจใช้แร่เงินทอง หรือใช้ของแลกของ โทษคือปรับหนักหน่วง!
ภาษีที่จ่ายเข้าราชสำนักก็ห้ามจ่ายเป็นธนบัตรอย่างเดียว ต้องมีแร่เงินทองหรือเหรียญทองแดงอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์
นี่มันนโยบายการขูดรีดโลหะมีค่าจากประชาชนชัดๆ
ด้วยกลไกข้างต้น ผู้คนต้องวิ่งใช้ธนบัตรมูลค่าสูงมากไปซื้อเหรียญทองแดงมาจ่ายภาษี นับวันธนบัตรก็ยิ่งด้อยค่าลงอย่างรวดเร็ว
อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็นการขูดรีดประชาชนตาดำๆ เพราะขุนนางตาดำๆ ก็โดนด้วย
ขุนนางหมิงที่เงินเดือนต่ำเตี้ยอยู่แล้ว จูหยวนจางยังสั่งจ่ายเงินเดือนส่วนหนึ่งเป็นธนบัตรในปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นเหรียญทองแดงและข้าวสาร
พอมาสมัยหย่งเล่อ - รัชกาลที่ 3 ซึ่งครองราชย์หลังจูหยวนจางสวรรคต 5 ปี สัดส่วนการจ่ายธนบัตรของเงินเดือนขุนนางก็ยิ่งสูงขึ้น
ขุนนางชั้นสูงจ่ายเป็นธนบัตร 60 เปอร์เซ็นต์ อีก 40 เปอร์เซ็นต์เป็นข้าวสาร ส่วนขุนนางชั้นล่างอาจถึงอดตายถ้าจ่ายในสัดส่วนเดียวกัน จึงจ่ายเป็นธนบัตร 40 เปอร์เซ็นต์ ข้าว 60 เปอร์เซ็นต์
เงินเดือนออกทีไร ขุนนางจึงต้องวิ่งแลกธนบัตรเป็นข้าวของหรือเหรียญทองแดง ยิ่งรอรีมูลค่าธนบัตรก็ยิ่งลดลง
อันที่จริงปรากฏการณ์ธนบัตรเฟ้อเช่นนี้ น่าจะทำให้เศรษฐกิจพังไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ไม่เลย... เศรษฐกิจภาคประชาชนของราชวงศ์หมิงกลับแข็งแรงเป็นปกติดี ไม่มีวิกฤตเหมือนเมื่อครั้งซ่งและหยวนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เพราะคำสั่งห้ามใช้แร่เงินที่ราชสำนักห้ามไว้ ที่สุดแล้วราชสำนักก็ยังไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะห้ามประชาชนได้จริง
จนในสมัยหมิงอิงจง (ห่างจากสมัยจูหยวนจางเกือบ 40 ปี) ราชสำนักต้องยอมแพ้ และอนุโลมให้ประชาชนใช้แร่เงินเป็นเครื่องมือซื้อขายได้ แต่กฎทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความยากลำบากของขุนนาง... เพราะยังได้เงินเดือนส่วนหนึ่งเป็นธนบัตร
และอาจเพราะภาพลักษณ์ของฮ่องเต้จูหยวนจางนั้นทรงพระโหดมาก ราชวงศ์หมิงจึงมีธรรมเนียมอยู่อย่าง แม้จูหยวนจางจะสวรรคตไปนาน ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องกฎเข้มที่พระองค์เคยตั้งเอาไว้ ไม่ว่าฮ่องเต้หรือขุนนาง
ราชสำนักจึงยังไม่กล้าเอาแร่เงินมาตราเป็นเหรียญเสียที และธนบัตรก็ยังถูกใช้ต่อมาเรื่อยๆ แม้จะมีค่าเป็นเพียงเศษกระดาษก็ตาม
จนธนบัตรราชวงศ์หมิงก็กลายเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรม เช่น เอาไว้ให้ฮ่องเต้จ่ายเป็นอั่งเปาสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน โดยไม่มีมูลค่าเป็นเครื่องมือทางการเงินแต่อย่างใด
และเพราะระบบธนบัตรล่มแต่เนิ่นๆ ส่วนประชาชนก็หลบหลีกไปอยู่กับเงินเถื่อนตั้งแต่ต้นเกม ที่ราชสำนักตราหน้าให้การใช้แร่เงินเป็นของเถื่อน จึงกลายเป็นธนบัตรราชสำนักหมิงคือของเถื่อนแทน ส่วนแร่เงินที่ประชาชนใช้กลับเป็นของจริง
และเมื่อราชสำนักไม่กล้าอาจเอื้อมมาจัดการ “เงิน” นั่นหมายถึงโอกาสที่ราชสำนักจะแทรกแซง สร้างความร่ำรวยจากอำนาจการควบคุมการเงินภาคประชาชนก็เกิดขึ้นได้ยาก
ต่างจากสมัยที่เงินประชาชนกับราชสำนักเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ราชสำนักในฐานะเจ้ามืออาจลดทองแดงในเหรียญลงจนเงินเฟ้อ หรือปั่นธนบัตรจนเกิดวิกฤต จนระบบเศรษฐกิจของราชของรัฐพังครืนไปด้วยกัน
เศรษฐกิจภาคประชาชนในราชวงศ์หมิงจึงเหมือนถูกปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติและอิสระ จึงเข้มแข็งสวนทาง และไม่มีวิกฤตร้ายแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด (ทั้งที่ธนบัตรเฟ้อไปเสียขนาดนั้น)
บางทีความลักลั่นไร้ประสิทธิภาพของระบบที่แย่ก็กลับร้ายกลายเป็นดี ในเงื่อนไขที่ว่าผู้คนในระบบต้องคิดหาวิธีดิ้นรนเอาเองได้สำเร็จ
(แน่นอนว่านี่เป็นมุมมองด้านเดียว เพราะในอีกด้าน เมื่อราชสำนักหมิงหลุดออกจากเกมเศรษฐกิจ กระบวนการปั่นค่าเงินซึ่งจำเป็นสำหรับการกู้วิกฤตด้านอื่นของประเทศจึงไม่สามารถทำได้)


