พาณิชย์ปรับแผน หาโอกาสใหม่
พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)
พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) เปิดเผยว่า หากแยกเฉพาะผลกระทบของสงครามการค้าที่กระทบต่อการส่งออก ในเดือน ก.ย. 2561 ที่มีมูลค่าหายไป 402 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง 1.8% แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกผลกระทบทางตรง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่ถูกสหรัฐใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้า พบว่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐ มีมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ลดลง 60.1% หรือมูลค่าหายไป 75 ล้านดอลลาร์ เช่น โซลาร์เซลล์ลด 77.1% เครื่องซักผ้าลด 87.4% เหล็กลด 60.4% อะลูมิเนียมเพิ่ม 65.5%
กลุ่มสอง ผลกระทบทางอ้อมหรือกลุ่มสินค้าที่จีนถูกสหรัฐใช้มาตรการภาษี และไทยเป็นซัพพลายเชนให้จีน ทำให้ส่งออกไปจีนลดลง โดยเดือน ก.ย. 2561 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวไปจีนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ ลดลง 16.3% หรือหายไป 392 ล้านดอลลาร์ เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ลด 24.1% เครื่องจักรและส่วนประกอบลด 35.6% เคมีภัณฑ์ลด 11.1% และยานพาหนะและส่วนประกอบ ลด 37.4% และกลุ่ม 3 ผลกระทบทางบวก คือ กลุ่มสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐเพิ่มขึ้นทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน มีมูลค่า 1,813 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.7% หรือส่งออกได้เพิ่มขึ้น 65 ล้านดอลลาร์ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบเพิ่ม 12.9% เคมีภัณฑ์เพิ่ม 26.4% ยานพาหนะและส่วนประกอบเพิ่ม 9.6% และเครื่องจักรและส่วนประกอบเพิ่ม 12.6%
“กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันกระจายความเสี่ยงเรื่องส่งออก เพราะซัพพลายเชนแปรผัน ดังนั้นรัฐบาลต้องดึงดูดการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาในไทยซึ่งเป็นแผนระยะกลาง ส่วนระยะสั้นต้องกระจายตัวสินค้ามากขึ้น ใช้นวัตกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่า ส่วนเรื่องของการเจาะตลาดรายมณฑลของจีน สนค.กำลังศึกษาอยู่ว่ามีสินค้ารายการใดที่ไทยจะบุกเข้าไปได้อีกบ้าง” พิมพ์ชนก กล่าว
บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกเดือน ก.ย. 2561 ไม่น่าประหลาดใจ เพราะมีหลายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบของสงครามการค้า แต่ก็ยังมีผลกระทบในเชิงบวกที่จะต้องหาโอกาสผลักดันการส่งออกไทยให้ขยายตัวในกลุ่มที่ไทยมีศักยภาพ เช่น กลุ่มอาหารและเกษตรแปรรูป โดยคาดว่าปี 2561 จะเติบโต 8% มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สิ่งที่ต้องเร่งทำคือการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าอาหารและเกษตรแปรรูปที่ต้องใช้นวัตกรรมเพื่อส่งออกไปสหรัฐและตลาดซีแอลเอ็มวี รวมถึงตะวันออกกลาง รวมถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีโอกาสส่งออก ซึ่งจะต้องทำแบรนด์สินค้าขึ้นมาในกลุ่มนี้
ขณะที่กลุ่มสินค้าได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ จะต้องหาตลาดทดแทนเพราะการส่งออกไปสหรัฐไม่ดีเหมือนเดิม ดังนั้นจะต้องมีเรื่องของนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนกลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน แม้จะได้รับผลกระทบแต่กรมยังมองว่าเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต เพื่อให้เข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ (เอสเคิร์ฟ)
อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่าตัวเลขการเติบโตของการส่งออกติดลบ 5.2% ไม่น่าเป็นห่วง เพราะมาจากปัจจัยที่อธิบายได้ 3 ปัจจัย คือ ผลจากสงครามการค้าโลก ทำให้การส่งออกไปจีนหดตัวถึง 14.1% ส่วนใหญ่หดตัวในกลุ่มคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และแผงวงจรไฟฟ้า ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิต อีกทั้งกลุ่มยางพาราก็หดตัวแรงจากสต๊อกที่สูงและการใช้ชะลอตัว
ปัจจัยที่สอง มาจากส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะทองคำหดตัวถึง 42.3% ซึ่งมาจากฐานสูง ที่เร่งส่งออกไปปีก่อนหน้า และปัจจัยสุดท้ายการส่งออกรถยนต์ส่วนประกอบที่หดตัวแรงถึง 7.3% โดยมีเหตุผลสำคัญ คือ ตลาดออสเตรเลียลดการนำเข้ารถยนต์นั่งจากไทย ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยหลักนี้อาจทำให้การส่งออกในช่วงไตรมาส 4 ชะลอบ้างและเติบโตช้าลงต่อเนื่องในปีหน้า
อย่างไรก็ดี มีความเป็นห่วงการนำเข้าที่ลดลงแรง คือ เติบโตเพียง 9.9% หลังเติบโตถึง 22.8% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการนำเข้าที่สูงขึ้นมาจากปัจจัยราคาน้ำมันสูงขึ้นเป็นสำคัญ และการนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ที่สะท้อนภาพการลงทุนภาคเอกชนที่กำลังเติบโตดี
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเดือนล่าสุดนี้พบว่าการนำเข้าเครื่องจักรกลหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยหดตัว 1.03% หลังหดตัว2.17% ในเดือน ส.ค. ซึ่งสะท้อนภาพการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มจะชะลอตัวในไตรมาส 4 และหากการส่งออกยังไม่ฟื้นเอกชนอาจยิ่งชะลอการลงทุน ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวของภาคการผลิตไทยยังไม่ชัดเจนในปลายปีนี้


