60 ปี ไทย-เกาหลี ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันหมดอายุ
ตามปรัชญาแห่งชีวิตของฝั่งตะวันออกไกล เชื่อกันว่าอายุ 60 ปีนั้น
ตามปรัชญาแห่งชีวิตของฝั่งตะวันออกไกล เชื่อกันว่าอายุ 60 ปีนั้น เป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของชีวิตรอบที่ 2 ซึ่งในเกาหลีเขาเรียกว่า “ฮวานคับ” 환갑 จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะต้องจัดงานฉลอง เพราะอุตส่าห์อยู่มาได้ตั้ง 60 ปี ทั้งนี้เพราะในอดีตช่วงอายุของมนุษย์สั้นกว่าปัจจุบันมาก คนที่จะผ่านวัฏจักรรอบที่ 1 ไปได้มีน้อย ส่วนใหญ่ลาโลกไปก่อนจากโรคภัยที่ยังไม่ได้ค้นพบสาเหตุ จากภัยต่างๆ และสงคราม การมีอายุถึง 60 ปีจึงไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ในอีกมิติหนึ่งของการเมืองระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลี เลข 60 ในปีนี้ ถือเป็นยิ่งกว่าเลขมงคลสำหรับทั้งสองประเทศ เพราะเราได้อยู่เป็นเพื่อนกันมาอย่างเป็นทางการถึง 60 ปี
ย้อนกลับไปวันที่ 1 ต.ค. 2501 ไทยกับเกาหลีได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน เมื่อ 60 ปีก่อนคนไทยรู้จักเกาหลีเพราะเราได้ส่งกองกำลังทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในปี 2493 ในเวลานั้นคนของทั้งสองประเทศต่างรู้จักกันน้อยมาก คนไทยรุ่นเก่าๆ รู้จักเกาหลีจากเพลง “อารีดัง” ซึ่งฝ่ายไทยแต่งขึ้นมาเล่าขานเรื่องราวของนักรบไทยในเกาหลี อันเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามที่ทำลายล้างมนุษยชาติที่รุนแรงมากสงครามหนึ่ง
25 มิ.ย. 2493 กองทัพเกาหลีเหนือใช้กำลังทหารประมาณ 6 หมื่นนาย เคลื่อนกำลังผ่านเส้นขนานที่ 38 ที่แบ่งเขตเกาหลีเหนือ-ใต้ ฝ่าลงมาจู่โจมโดยไม่ทันรู้ตัว และสามารถเข้ายึดกรุงโซลที่อยู่ห่างจากชายแดนราว 50 กิโลเมตรไว้ได้ในเวลาเพียง 3 วัน เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเกาหลีอันโหดร้ายที่กินเวลาถึง 3 ปี 32 วัน และนำความพินาศบอบช้ำมาสู่ทั้งสองเกาหลีอย่างยิ่ง
ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจึงได้ระดมกำลังทหารเพื่อส่งไปช่วยรบ และไทยก็เป็นประเทศที่สองถัดจากสหรัฐอเมริกาที่ตัดสินใจเข้าร่วมสงครามเกาหลี รัฐบาลไทยได้ตั้ง “กรมผสมที่ 21” ขึ้นเพื่อรับสมัครทหารไทยไปร่วมรบ ในระหว่างสงครามเราเป็น 1 ใน 5 ประเทศเท่านั้นที่ส่งกำลังทหารไปทั้ง 3 เหล่าทัพ คือ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มีจำนวนทั้งสิ้น 15,708 นาย ผลัดแรกปฏิบัติภารกิจระหว่างเดือน พ.ย. 2493-ก.ค. 2496 จำนวน 8,693 นาย เป็นผลัดที่อันตรายที่สุดเพราะสงครามกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นต้องร่วมรบอย่างสาหัสสากรรจ์ ส่วนผลัดที่สองระหว่างเดือน ก.ค. 2496-ก.ค. 2515 จำนวน 7,015 นาย เป็นกองร้อยซ่อมบำรุง กองทัพบก ที่เหนื่อยยากที่สุดกับการตั้งรับและป้องกันมิให้เกิดการต่อสู้อีกหลังข้อตกลงหยุดยิง ในจำนวนทั้งหมดนี้มีผู้สละชีวิตเพื่อเกาหลี 136 นายและ บาดเจ็บ 469 นาย
นอกจากนี้ ไทยยังได้ให้ความช่วยเหลือสำคัญอีกด้านอย่างเร่งด่วนในทันทีคือ “ข้าว” ในภาวะสงครามอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ประชาชนต้องอพยพถิ่นฐานไปสู่ที่ปลอดภัย พืชผลเสียหายจากสงคราม จึงขาดแคลนอาหารประทังชีวิต ข้าวจึงเป็นเสมือนการต่อชีวิตให้แก่ผู้ประสบภัย
ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ตื้นตันใจมาก เล่าทุกครั้งที่มีโอกาสเพื่อบอกความในใจของคนเกาหลีรุ่นเก่าๆ ให้คนไทยได้ทราบว่า ในเบื้องลึกของความสัมพันธ์ระหว่างเรา มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมานานกว่า 70 ปี
หลายปีมาแล้ว “เชกา” ได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกับประธานกรรมการบริษัทเกาหลีแห่งหนึ่ง ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนในไทยหลายพันล้านบาท ท่านเป็นคนพูดน้อยตรงประเด็น หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันนี้คงจะอายุราว 80 ปีเศษ ระหว่างนั้น อยู่ๆ ท่านได้ถามขึ้นว่า “เธอรู้ไหม ทำไมฉันจึงตัดสินใจลงทุนในไทยทั้งๆ ที่มีอีกหลายประเทศที่น่าสนใจให้เลือก” เมื่อตอบว่า “ไม่ทราบค่ะ” ท่านจึงบรรยายถึงข้อดีของการลงทุนในประเทศไทยหลายอย่าง แต่เหตุผลสุดท้ายคือ “เพราะฉันสำนึกในบุญคุณของข้าวไทย ตอนฉันยังเด็กได้กินข้าวไทยที่ส่งไปช่วยทำให้หายหิว” ท่านเล่าว่า ทุกครอบครัวจะพากันออกไปขุดหามันและของป่ากินแทนข้าว เมื่อข้าวไทยไปถึงจึงเป็นอาหารเลอค่า ท่านยังจำกลิ่นรสของข้าวไทยได้ดี เมื่อมาเมืองไทยทีไร ได้กินข้าวไทยก็จะรำลึกถึงความหลังเสมอ
ทหารไทยที่ไปปฏิบัติภารกิจ พบความยากลำบากจากสภาพอากาศที่แตกต่างจากเมืองไทยมาก เมื่อเดินทางถึงในต้นฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส พอเข้า ธ.ค.-ม.ค. บางคืนอากาศติดลบถึง 20 องศาฯ หลายคนได้ป่วยเป็นโรคหิมะกัดในระหว่างการปฏิบัติการ ทหารไทยได้ไปสร้างวีรกรรมไว้มากมาย โดยเฉพาะการรักษาที่มั่น “พอร์คช็อป ฮิลล์ หรือ เนิน 255” แบบยอมตายถวายชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า “ลิตเติ้ลไทเกอร์” ต่อมากรมผสมที่ 21 นี้ได้ตั้งขึ้นเป็นกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ กรมทหารเสือนวมินทราชินี อยู่ที่ จ.ชลบุรี กองพันนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนเกาหลีมาจนทุกวันนี้
ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 60 ปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่รอช้าที่จะจัดงานเฉลิมฉลอง ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีแล้วทั้งในเกาหลีและไทย เช่น วันที่ 30 ก.ย. มีงาน KCON 2018 Thailand ซึ่งจัดคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่ในอิมแพ็ค อารีน่า และมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ K-Pop, K-Beauty, K-Food และ K-Drama อีกมากมาย ส่วนวันที่ 6-7 ต.ค. มีงาน “อันยอง Thailand สวัสดี Korea” จัดที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งศิลปินดังเกาหลีกว่า 170 คน อาทิ Super Junior, EXO-CBX, Taeyeon, Twice, NCT127, Seventeen, Red Velvet, Momoland, Suzy, Yu Seon Ho, Pentagon ปาคโบกอม ซงจุงกิ ฯลฯ ได้มอบซีดีพร้อมลายเซ็น และของส่วนตัวมาร่วมประมูลเพื่อมอบรายได้ทั้งหมดแก่มูลนิธิช่วยเหลือเด็กยากไร้ด้วย ขอให้ความสัมพันธ์ไทย-เกาหลี มั่นคงยืนยาวและสร้างประโยชน์ให้แก่คนทั้งสองประเทศตลอดไปค่ะ


