สาระที่แท้ของเซน
เวลาคนไทยนึกถึงเซนเรามักคิดถึงปริศนาธรรมที่ลึกซึ้งฟังแล้วยากจะเข้าใจ
โดย กรกิจ ดิษฐาน
เวลาคนไทยนึกถึงเซนเรามักคิดถึงปริศนาธรรมที่ลึกซึ้งฟังแล้วยากจะเข้าใจ แต่ละเลยเนื้อหาหลักของเซน นั่นคือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน วิธีการปฏิบัติธรรมแบบเซนมี 4 แบบใหญ่ๆ คือ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม การศึกษาธรรม การทำงาน
1.การนั่งสมาธิ ต้องนั่งอย่างองอาจเยี่ยงพระไวโรจนพุทธเจ้า เรียกว่าท่า “สัปตธรรมไวโรจนะ” คือ ขัดสมาธิเพชร วางมือที่ตัก หลังตรง ไหล่ผึ่งผายราวกับปีกแร้ง ศีรษะกับคอโน้มลงเล็กน้อยให้คางหลุบลงเป็นทรงคล้ายตะขอเหล็ก ปลายลิ้นดุนเพดานปาก หรี่ตามองเลยปลายจมูก ระหว่างนั่งจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกแบบอานาปานสติก็ได้ จะนั่งดูจิตอยู่กับปัจจุบันขณะให้เห็นความคิดที่เกิดดับก็ได้ หรือจะพิจารณาปริศนาธรรมก็ได้ ในทำนองตรึงความคิดให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบกรรมฐาน จะเห็นได้ว่า หลักสมาธิเซนก็คล้ายๆ กับเถรวาทนั่นเอง สิ่งที่เซนซึ่งเป็นมหายานต่างจากเถรวาทก็ตรงที่การตั้งปณิธานโพธิสัตว์และมหากรุณานั่นเอง การทำสมาธิจึงมิใช่มุ่งนิพพานตัวคนเดียว แต่เพื่อบรรลุธรรมเพื่อช่วยขนถ่ายสรรพสัตว์พ้นสังสารวัฏ
2.การเดินจงกรม ปรากฏในมหาสังฆิกวินัย ต่อมาพระเถราจารย์ของนิกายเซนแต่งปกรณ์อธิบายการเดินจงกรมไว้อย่างพิสดาร เดิมเป็นการเดินไป สวดพระสูตรไป จึงเรียกว่า จิงสิง (經行) หรือเดินพระสูตร ตามปกติการเดินจงกรมมักทำกันระหว่างการพักนั่งสมาธินานๆ นิกายเซนแบบญี่ปุ่นมักเดินจงกรมช้าๆ วางมือไว้ที่ระดับหน้าท้อง หลุบตาลงมองพื้นข้างหน้า แล้วตรึงความคิดไว้ แต่ในจีนเน้นเดินเร็วๆ มือปล่อยไว้ข้างตัว ส่วนเซนแบบเวียดนามของหลวงพ่อทิก เญิ้ต หั่ญ สอนให้อยู่กับปัจจุบันขณะเวลาเดินจงกรม เดิมในสมัยราชวงศ์ถังมีการตระเตรียมทางเดินจงกรมเป็นทางตรงและเดินกลับไปกลับมาเหมือนฝ่ายเถรวาท แต่ปัจจุบันนิยมเดินทักษิณาวรรตวนรอบพระวิหารหรือพระประธาน อย่างพระโพธิธรรม หรือตั๊กม้อ ปรมาจารย์นิกายเซนในจีนก็เดินจงกรมที่เชิงเขาซงซาน ที่ตั้งของวัดเส้าหลิน การเดินจงกรมนอกจากจะช่วยเสริมการนั่งสมาธิแล้ว ยังช่วยแก้ง่วงได้อีกด้วย
3.การศึกษาธรรม ในที่นี้มี 2 แบบ คือ การพิจารณาปริศนาธรรม หรือกงอั้น (ญี่ปุ่นเรียกโกอัน) อย่างหนึ่ง กับการศึกษาพระสูตรปกรณ์อีกอย่างหนึ่ง ข้อหลังคนเข้าใจผิดกันมากว่า นิกายเซนปฏิเสธการอ่านการเขียน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะกว่าจะบรรลุธรรมได้ ผู้ปฏิบัติต้องมีพื้นฐานเสียก่อน อย่างแรกคือศีล แม้แต่นิกายเซนที่ดูเหมือนจะไม่ยึดติดขนบยังยึดในหลักไตรสิกขาอย่างเคร่งครัด โดยมีศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ หากไร้ศีล สมาธิมีหรือจะตั้งมั่นได้ ข้อนี้พระเซนในจีนและเกาหลีเคร่งครัดกันมาก หาไม่แล้วการเจริญสมาธิจะไม่ก้าวหน้า ส่วนการศึกษาพระปริยัติ นิกายเซนมีพระสูตรและปกรณ์ให้ศึกษามากมายไม่แพ้นิกายสายบาเรียนธรรมเลย พระโพธิธรรมเองระหว่างนั่งสมาธิ 9 ปีที่เส้าหลิน ระหว่างพักจากสมาธิท่านก็ศึกษาตำรา อ่านพระสูตร เพียงแต่ตำราเป็นเพียงเครื่องปูทางสำหรับการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจนถึงแก่นแท้แล้ว ตำราก็ไม่ยึด พุทธะก็ไม่ถือ อย่างภาษิตเซนว่า ฉีกตำรา ฆ่าพระพุทธนั่นเอง
4.การทำงาน ผู้ที่วางรากฐานการทำงานคือการปฏิบัติธรรม คือ พระเถระไป่จ้าง สมัยราชวงศ์ถัง ปัจจุบันเซนทั้งจีนและเกาหลีถือแนวทางของท่านไป่จ้างอย่างเคร่งครัด ท่านเขียนปกรณ์ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติของวัดเซนเอาไว้เป็นแบบแผน ทั้งการถือวินัย การปฏิบัติกิจประจำวัน และการทำงาน หัวใจหลักของปกรณ์นี้ คือ “วันไหนไม่ทำงาน วันนั้นไม่ต้องกิน” (一日不做一日不食) หลักการนี้เพื่อส่งเสริมให้นิกายเซนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโยมในยุคที่พระพุทธศาสนาถูกกดขี่และพระจีนถูกห้ามมิให้บิณฑบาต เรียกได้ว่าด้วยปกรณ์ของท่านไป่จ้าง ทำให้นิกายเซนที่เคยเป็นเพียงคณะย่อยในนิกายหลักต่างๆ กลายเป็นนิกายที่มีตัวตนชัดเจนในที่สุด ที่สำคัญคือหลักนี้มิใช่นำไปปฏิบัติแบบขอไปที ต้องปฏิบัติด้วยการพิจารณาจิตไปพร้อมๆ กับกายที่เคลื่อนไหวทำกิจการงานต่างๆ ดังท่านพุทธทาสว่า “ทำงานด้วยจิตว่าง” นั่นเอง ต่อจากท่านไป่จ้างแล้ว ยังมีท่านโดเงน แห่งสำนักโซโตในญี่ปุ่น ท่านกำหนดหลักทำงานด้วยจิตว่างไว้เป็นระบบเช่นกัน ด้วยตัวท่านได้อาจารย์ในเมืองจีนเป็นพระโรงครัว ตัวท่านเขียนตำราธรรมะว่าด้วยการพบธรรมจากการทำครัวเลี้ยงพระ ดังนั้นการปฏิบัติและบรรลุธรรมจึงทำได้ในทุกสถานที่การทำงาน
นี่เป็นเพียงการสรุปสารัตถะการปฏิบัติเซนแบบคร่าวๆ หากผิดพลั้งไปผู้เขียนขออภัยอย่างสุดซึ้ง


