posttoday

เหนือกระบวนทัพม้าคือระบบสังคม

09 กันยายน 2561

ผมเคยเขียนถึงง้าวของกวนอูว่าไม่มีจริง เพราะในยุคสามก๊กยังไม่มีโกลนม้า

ผมเคยเขียนถึงง้าวของกวนอูว่าไม่มีจริง เพราะในยุคสามก๊กยังไม่มีโกลนม้า (หรือยังไม่ถูกพัฒนาจนสมบูรณ์) เมื่อไม่มีโกลนให้คนขี่ยึดเหยียบ การใช้อาวุธหนักที่เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาจึงเป็นไปได้ยาก จะตกม้าเอาง่ายๆ (ขอ Tie in หน่อยว่า อ่านรายละเอียดได้ใน “มองตะเกียบเห็นป่าไผ่ เล่ม 2”)

ในช่วงก่อนยุคฉิน การใช้ม้าในการรบ ส่วนใหญ่จะใช้คู่กับรถศึก ส่วนการขี่หลังม้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอนารยชนนอกด่าน และเนื่องจากยังไม่มีโกลน การรบบนหลังม้าของนักรบนอกด่านย่อมไม่อาจเก่งกาจพ้นหลักฟิสิกส์ การใช้อาวุธหนักจึงเป็นเรื่องยากเย็นเช่นกัน

ชนนอกด่านนั้นเลือกใช้ธนูเป็นอาวุธหลัก กระจายตัวควบม้าเข้าออก ยิงธนูใส่กองทหารจีน หากโดนไล่ประชิดก็ควบหนี ทิ้งระยะได้ที่ก็กลับมาก่อกวนใหม่ เป็นการรบแบบจรยุทธ์ คือสงครามกองโจร กรณีที่จีนใช้รถศึกเข้าต่อกร นอกจากต้นทุนสูง ความเร็วและความคล่องแคล่วเป็นรอง หน่วยรถม้ายังเป็นเป้าใหญ่ที่ประกอบด้วยอะไหล่มากมาย แค่ม้าหรือคนขับตายหรือรถพัง ล้วนทำให้หน่วยรบนั้นสูญสิ้นไปทั้งหน่วย

ด้านทหารราบของจีนซึ่งมาพร้อมอาวุธยาว เช่น ทวนหรือหอก ต้องตั้งกระบวนทัพเป็นแถวแน่นหนา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันและโจมตี ทหารม้าลุยเดี่ยวหากเข้าโจมตีกระบวนทัพที่แน่นหนา จะกลายเป็นเม่นทั้งม้าทั้งคน ซึ่งแน่นอนว่าพวกนอกด่านก็ไม่โง่และไม่จำเป็นที่จะต้องลุยเข้าไปปะทะแบบนั้น และเพราะโกลนม้ายังไม่มี หากทหารม้าจะใส่เกราะหนักเพื่อเข้าโจมตีก็เป็นภาระขาหนีบเสียเปล่า

หากกองทหารราบจะแตกกระบวนทัพ ถ้าไม่ใช่ตอนแตกพ่ายก็เมื่อเข้าตะลุมบอน อันที่จริงหากช่วงตะลุมบอนยังประสานกระบวนกันได้เป็นแถวเป็นแนว ก็ย่อมจะมีประสิทธิภาพ กองทหารที่เสียกระบวนนอกจากจะสูญเสียประสิทธิภาพ ยังเท่ากับถูกตัดขาดการสื่อสารบัญชาการไปกลายๆ ด้วย

ในสนามรบที่ชุลมุน ทหารตัวคนเดียวจะถอยและรุกคืบอย่างไร ย่อมยุ่งยากต่อการตัดสินใจกว่าการถอยและรุกเป็นแนวไปด้วยกัน หากทหารแตกจากแถวกระบวนทัพ การตัดสินใจสู้ต่ออย่างทหารผู้โดดเดี่ยวจึงมิสู้ถอยหนีเสียดีกว่า...ซึ่งก็เท่ากับแตกกระเจิงนั่นแหละ สูญเสียกระบวนจึงเท่ากับพ่ายแพ้ แม้ไม่ได้ตายยกกอง

ตรงกันข้ามกับนักรบนอกด่านบนหลังม้า ที่แต่ละคน+ม้า เคลื่อนไหวเข้าออกในวงกว้าง โจมตีอยู่ห่างๆ ด้วยธนู ใช้การรุกรบรวดเร็วเป็นจุดแข็ง ค่อยๆ ตีรวนไป ไม่ต้องใช้กระบวนทัพที่รัดกุม ซือหม่าเชียน - นักประวัติศาสตร์ยุคต้นราชวงศ์ฮั่น บันทึกว่า พวกซงหนู (ชนนอกด่านทางเหนือของจีน) “ได้ทีก็จู่โจม เสียทีก็ถอยทัพ หนีอย่างหน้าไม่อาย ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและจรรยา” ...น่ารำคาญ

แต่การรบบนหลังม้าแบบนี้ของพวกนอกด่านก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาได้เปรียบกว่านัก เพราะยุทธวิธีนี้ไม่สามารถเผด็จศึกได้ ในยุคนั้นชนเผ่านอกด่านจึงได้แต่ก่อกวนจีน โดยทั้งคู่ไม่เคยทำสงครามจนชนะแพ้กันแบบเป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใดและชัยชนะเด็ดขาดก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกนอกด่านต้องการ พวกนอกด่านต้องการเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นครั้งๆ ไป

เรื่องนี้มีเกร็ดอยู่หน่อย ช่วงรัชสมัยแรกของราชวงศ์ฮั่น หลิวปัง (ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่) ถูกชนเผ่าซงหนูล้อมอยู่ 7 วัน จนเมื่อหลิวปังยินยอมส่งองค์หญิงฮั่นให้กษัตริย์ซงหนู หลิวปังจึงสามารถไถ่ตัวเองออกจากวงล้อม

มองด้านหนึ่งคือกองทัพซงหนูเก่งกล้า ล้อมกองทัพฮั่นไว้ได้ถึง 7 วัน แต่อีกด้านคือได้แต่ล้อมไว้ โดยโจมตีแบบแตกหักไม่ได้ก็เพราะยุทธวิธีไม่อำนวย และเพียงแค่เครื่องบรรณาการเล็กน้อยก็พร้อมถอยได้ แต่ยุคต่อมาในสมัยฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แม่ทัพเว่ยชิง และฮั่วชวี่ปิ้งพัฒนาทหารม้าของจีนขึ้นอีกขั้น โดยทัพม้าของราชวงศ์ฮั่น ใช้คน ม้า ผสมผสานกับธนูและอาวุธยาว

แล้วจัดตั้งเป็นกระบวนทัพคล้ายกับที่ทหารราบใช้ นอกจากความเร็ว แรง ประสิทธิภาพของกองทหารม้าอยู่ที่การตั้งเป็นกระบวนทัพดาหน้ากันเข้าไป ที่เคยบอกว่าการขี่ม้าเข้าตะลุยกระบวนทหารราบจะเปลี่ยนทหารม้าเป็นทหารเม่น แต่หากม้ามาเป็นแถวพร้อมอาวุธยาว ย่อมเกิดความได้เปรียบในภาพรวม ทหารม้าส่วนหนึ่งอาจโดนแทงหรือยิงตายไปบ้างแต่ทั้งกระบวนย่อมคุกคามให้ทหารราบและนักรบนอกด่านแตกกระเจิงได้มากกว่า ทั้งในทางกายภาพและจิตวิทยา

ศึกชี้ขาดระหว่างทัพฮั่นและซงหนูเมื่อ 119 ปีก่อนคริสต์ศักราช เกิดขึ้นกลางดึก พร้อมพายุทราย ซึ่งทำให้ยุทธวิธีการรบของซงหนูใช้ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ชัยชนะจึงเป็นของทัพม้าราชวงศ์ฮั่น จนพวกซงหนูต้องสังเวยชีวิตนับหมื่นคน นี่คือจุดที่ทำให้จีนเริ่มเป็นฝ่ายกำชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือซงหนู

ขณะที่จีนผสานเทคนิค รูปแบบ และระบบการรบบนหลังม้าแบบใหม่ได้แล้ว แต่ซงหนูกลับตามไม่ทัน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าลักษณะทางการทหารและสังคมของซงหนูไม่สามารถสร้างแนวคิด “วินัยทหาร” ขึ้นมาได้ นักรบนอกด่านแต่ละคนมาในนามผู้ติดตามหัวหน้าเผ่า ด้วยลีลาความเก่งกาจเฉพาะตัว แม้แต่ละคนถูกมอบหมายไว้คร่าวๆ ว่าจะเข้าโจมตีส่วนใดอย่างไร แต่ต่างก็ตะลุยไปแบบกึ่งบุกเดี่ยว

การเข้าจู่โจมและถอยหนีใช้วิธีเอาตัวรอดออกมาเป็นคราวๆ เป็นคนคนมิได้อาศัยกระบวนทัพสร้างความได้เปรียบที่ชัดเจน จะมาฝึกเข้าแถวจัดกระบวนแล้วเอาชีวิตเข้าแลกไปทำไม ในเมื่อจุดแข็งของตนคือรบเร็วจากระยะไกลโดยสูญเสียน้อยตลอดมา นอกจากนั้นระดับการทหารแบบชนเผ่ายังเป็นการรวมตัวกันหลวมๆ

เมื่อปราศจากระบบทหารแบบอาณาจักรรวมศูนย์ นักรบทุกคนต่างก็รวมตัวเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังชนะสงครามเป็นครั้งๆ มากกว่าทหารซึ่งถูกมอบหมายให้เป็นหมากเดินเกมเพื่อชัยชนะในภาพรวม การสร้างวินัย หรือการวางกระบวนทัพที่ยอมเอาจำนวนชีวิตนักรบบางส่วนเข้าแลกเพื่อชัยชนะของชนเผ่า จึงไม่มีทางเข้มข้นและเยือกเย็นเท่ากับจีนซึ่งใช้แนวคิดของสังคมแว่นแคว้นหรืออาณาจักรมาอย่างหนักแน่นตั้งแต่ไหนแต่ไร

ประเด็นคือการฝึกฝนกองกำลังระยะยาว ที่จะฝืนธรรมชาติของจิตคนซึ่งต้องการถอยหนีจากอันตรายและกลัวตาย การฝึกฝนกองทหารให้เป็นกระบวนทัพดาหน้าเข้าไปปะทะเสี่ยงชีวิต จึงมักใช้โทษหนักถึงตายเช่นกัน ไม่ว่าในระหว่างฝึกหรือในสมรภูมิ เช่นนี้จึงจะได้ทหารที่กล้าที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชัยชนะของกองทัพในยามรบจริง

ยิ่งกระบวนทหารม้ามีวินัยเคร่งครัด การบุกตะลุยย่อมข่มขวัญข้าศึกจนแตกกระเจิงได้ง่ายขึ้น ก็ยิ่งส่งผลให้ทหารม้าสูญเสียน้อยลง แต่ยังคงตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ต้องเข้าประจัญบานเพื่อแลกกันอยู่ดี ระบบวินัยทหารที่เข้มข้นและการฝึกฝนให้เชื่อฟังอย่างเข้มงวดจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดกระบวนทัพม้าที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ได้

เบื้องหลังชัยชนะของระบบกองทัพม้าในราชวงศ์ฮั่น มิใช่แค่เทคนิค ทรัพยากร หรือเรื่องผิวเผินของโกลนม้า ธนู หอก ดาบ หรืออานม้า แต่เกิดจากความก้าวหน้าของระบบสังคม ซึ่งผลักดันให้การใช้ทรัพยากรแบบเดียวกัน มีรูปแบบและประสิทธิภาพต่างกันไป

อาวุธหรือเทคนิควิธีใดๆ ล้วนลอกเลียนได้เร็ว แต่การเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้ระบบสังคมเป็นพื้นฐานมักมี Learning Curve ที่เชิดหัวขึ้นช้า จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน ทั้งยังต้องรอปัจจัยที่ซับซ้อนถึงพร้อมด้วยเช่นกัน ชนเผ่าที่พ่ายแพ้เพราะระบบสังคม จึงมีแนวโน้มเป็นชนเผ่าที่กู่ไม่กลับ...และจากนั้นไม่นาน ซงหนูก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีน

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี