ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (78)
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระองค์ที่กล่าวขานเชิงนินทาในเรื่องเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระวรกัญญาฑปทานอย่างหนึ่ง
โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระองค์ที่กล่าวขานเชิงนินทาในเรื่องเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระวรกัญญาฑปทานอย่างหนึ่ง คือการปฏิบัติพระองค์ต่อข้าราชบริพาร ซึ่งเคยรับใช้สนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดก่อนจะทรงหมั้น เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระวรกัญญาปทานเสด็จมาถึงพระราชวังพญาไท มหาดเล็กเดิมคนหนึ่งได้เข้าไปเพื่อจะรับพระหัตถ์ตามธรรมเนียมตะวันตก แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม ครั้นเมื่อเรื่องไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กลายเป็นว่าทรงสะบัดมือและแสดงพระกิริยาดูถูกมหาดเล็กเดิมคนนั้น ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว และอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการถอดถอนหมั้นซึ่งในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระบายความทุกข์ในพระทัยด้วยรูปแบบพระราชหัตถเลขาถึงหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ วรวรรณ พระน้องนางเธอของพระวรกัญญาปทาน
อนึ่ง พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เป็นเจ้านายที่ทรงริเริ่มการสวมเครื่องประดับคาดที่ศีรษะเป็นพระองค์แรก จนกลายเป็นที่นิยมของสุภาพสตรีช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยความที่พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ทรงมีความคิดที่ล้ำสมัยสตรีไทยในยุคนั้น ทรงเขียนบทความชื่อ “ดำริหญิง” ในหนังสือดุสิตสมิธรายสัปดาห์เมื่อปี 2463 ในทำนองส่งเสริมให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ เพราะสตรีก็มีความสามารถ และจะอุ้มชูหรือชักบุรุษให้ต่ำลงก็ทำได้ แต่ก็มีพระประสงค์ให้บุรุษเข้าใจและเคารพสถานภาพของสตรี รู้จักหน้าที่ของบุรุษตามแบบสากล และขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้สตรีรู้จักทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ความว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่างามเลิศ สวยประเสริฐยากที่จะเปรียบได้
อย่าทะนงอวดองค์ว่าวิไล อันสุรางค์นางในยังมากมี
อย่าทะนงอวดองค์ว่าทรงศักดิ์ จะใฝ่รักแต่องค์พระทรงศรี
นั่งรถยนต์โอ่อ่าวางท่าที เป็นผู้ดีแต่ใจไพล่เป็นกา
อย่าดูถูกลูกผู้ชายที่เจียมตน อย่าดูถูกฝูงชนที่ต่ำกว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่าโสภา อันชายใดฤๅจะกล้ามาง้องอน
ครั้นแล้วจึงมีพระบรมราชโองการให้ถอนหมั้น เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2464 และโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ความตอนหนึ่งว่า
“...มีความเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาทรงทราบตระหนักแน่ชัดขึ้นว่า การจะไม่เป็นไปโดยเรียบร้อย สมพระราชประสงค์อันดีที่กล่าวมาแล้ว เพราะเหตุที่พระราชอัธยาศัยของพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมิได้ต้องกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมีพระโรคประจำพระองค์อันเป็นไปในทางพระเส้นประสาทไม่ปรกติ ทรงพระราชดำริว่า ถ้าแม้จะคงให้การดำเนินต่อไปจนถึงกระทำการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ก็อาจจะมีผลอันไม่พึงปรารถนา...”
และแล้วก็มีพระบรมราชโองการให้ท้าวนางจ่าโขลนนำโซ่ตรวนทองคำไปจับกุมพระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมายังพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยทรงพระทิฐิมานะ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจึงไม่ทรงทูลขอพระราชทานอภัย กับทั้งยังส่งหนังสือ “ศกุนตลา” ที่พระราชทานกลับพร้อมขีดเส้นใต้กลอนบทเหล่านี้
ทรงภพผู้ปิ่นโปรดฦๅสาย
พระองค์เองสิไม่มียางอาย พูดง่ายย้อนยอกกรอกคำ
มาหลอกลวงชมเล่นเสียเปล่าเปล่า ทิ้งให้คอยสร้อยเศร้าทุกเช้าค่ำ
เด็ดดอกไม้มาดมชมจนช้ำ ไม่ต้องจดจำนำพา
เหมือนผู้ร้ายย่องเบาเข้าลักทรัพย์ กลัวเขาจับวิ่งปร๋อไม่รอหน้า
จงทรงพระเจริญเถิดราชา ข้าขอลาแต่บัดนี้
ด้วยเหตุนี้จึงทรงถูกจำขังลงโซ่ตรวนทองคำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นจนตลอดทั้งรัชกาล
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลต่อมาจึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดปล่อยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ออกจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานวังที่ประทับให้อยู่บริเวณสี่แยกพิชัย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ประทานชื่อว่า พระกรุณานิวาสน์ ขณะทรงได้รับการปล่อยออกมานั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระชนมายุ 33 พรรษา ประทับอยู่ที่วังพระกรุณานิวาสน์ และสนพระทัยในพระพุทธศาสนาตลอดมา
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ได้เข้าประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคพระวักกะพิการ เป็นเวลา 60 วัน โดยพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการสงบ ในเวลา 06.07 นาฬิกาของวันที่ 7 เม.ย. 2494 สิริพระชนมายุได้ 58 พรรษา 5 เดือน และทรงได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดเบญจมบพิตร เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ก.พ. 2495 หลังสิ้นพระชนม์พระกรุณานิวาสน์ได้ตกเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ครั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสภาสตรีแห่งชาติไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงถูกเช่าสำหรับเป็นสำนักงานตั้งแต่ปี 2504-2518 ปัจจุบันบ้านพระกรุณานิวาสน์หลังเดิมถูกรื้อเพื่อสร้างอาคารหลังใหม่สำหรับจัดกิจกรรมและกิจการอื่นๆ ในการหารายได้เข้าสภาสตรีแห่งชาติ
ก่อนการถอนหมั้นกับพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้อภิเษกสมรสกับ นางเจ้าประไพ สุจริตกุล เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2464 หลานปู่ของพระยาราชภักดี (โต สุจริตกุล) ซึ่งเป็นน้องชายของสมเด็จพระปิยะมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันถือเป็นราชินิกุลที่ใกล้ชิด
คุณประไพเกิดมาเป็นเด็กรูปร่างเล็กบอบบาง อุปนิสัยร่าเริง และมีผู้ทำนายไว้ว่าลักษณะมีบุญ จนพี่น้องรู้กันดีว่า หากจะขออนุญาตไปเที่ยวงาน หรือต้องการของกินของเล่นอย่างใด หากอ้างชื่อคุณประไพ ก็จะได้ดังประสงค์ทุกครั้งไป เมื่อคุณประไพอายุครบ 8 ขวบจึงได้เข้าไปเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนราชินี ในรุ่นเดียวกับหม่อมเจ้าจันทรนิภา เทวกุล คุณสมบุญ ชินะโชติ และคุณเพียบ สุจริตกุล คุณประไพชอบการกีฬามากกว่าวิชาการ แต่ก็สอบได้คะแนนดีทุกครั้ง ต่อมาพระยาราชภักดี (โค) ก็ถึงแก่อนิจกรรม บิดาของคุณประไพจึงย้ายไปปลูกบ้านใหม่ที่ประตูน้ำภาษีเจริญ ห่างจากบ้านคลองด่านไม่มากนัก ต่อมาบิดาของท่านเข้าเฝ้าฯ ถวายตัวต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
คุณประไพได้รับราชการฝ่ายในในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณประไพดำรงตำแหน่งพระสนมเอก มีราชทินนามว่า พระอินทราณี พระราชพิธีอภิเษกสมรสมีขึ้นเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2464 โปรดฯ ให้ท้าวภัณฑสารานุรักษ์ หัวหน้าคลังฝ่ายในนำเงินไปพระราชทานตามพระราชประเพณีเป็นเงิน 4,000 บาท โดยพระนาม อินทราณี เป็นพระนามหนึ่งของพระชายาของพระอินทร์
จากนั้นในวันที่ 10 มิ.ย. 2465 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอินทราณี ขึ้นดำรงพระยศเจ้านายตำแหน่งพระมเหสีพระองค์หนึ่ง ที่พระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี ซึ่งปรากฏอยู่ในคำประกาศสถาปนาว่า
“...ทรงพระราชดำริว่า พระอินทราณีได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณ โดยความซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอีกนัยหนึ่ง พระอินทราณีก็เป็นราชินิกุลและ
ภาตาป์ปุตติในพระอัยยิกา อันพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็นเจ้าตามราชประเพณีที่ได้มีมาในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระรูปศิริโสภาคมหานาคนารีนั้นด้วยแล้ว สมควรที่จะสถาปนาพระอินทราณี ให้มียศเหมือนเจ้าได้ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอินทราณี ขึ้นเป็นพระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี...”
พร้อมกับพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้าอันเป็นตราชั้นสูงสุดสำหรับฝ่ายในแก่พระวรราชชายาเธอในโอกาสนี้ด้วย โดยพระนามอินทรศักดิศจีมีความหมายว่า “พระนางศจีผู้เป็นพระชายาของพระอินทร์”
ในเวลาต่อมา พระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี ทรงพระครรภ์ จึงเป็นสาเหตุให้ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีพระบรมราชินี ตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสี เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2465 มีพระบรมราชโองการว่า
“พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า พระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณมาโดยซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า จะทรงสถาปนายกย่องขึ้นให้มีพระอิสริยยศสูงในตำแหน่งพระราชินีก็ควรแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศ พระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี”
ต่อมาในวันที่ 13 ม.ค. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ นายพันโท ผู้บังคับการพิเศษกรมทหารราบที่ 3 มหาดเล็กรักษาพระองค์แก่พระบรมราชินี และเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 21 พรรษาของพระบรมราชินีในวันที่ 10 มิ.ย. 2466 ได้ทรงพระราชนิพนธ์โคลงอำนวยพรพระราชทานแด่พระบรมราชินี ซึ่งปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องลิลิต นารายณ์สิบปาง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงละครเรื่อง พระร่วง ซึ่งทรงร่วมเล่นกับผู้มีบรรดาศักดิ์และข้าราชการที่ทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง โดยทรงรับบทเป็นนายมั่น ปืนยาว พรานป่า เพื่อนำเงินขายบัตรไปซื้อเรือรบหลวง เป็นเรือที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ปัจจุบันได้ปลดประจำการแล้วชื่อเรือรบหลวงพระร่วง และในการแสดงครั้งนั้นทำให้สตรีอีกผู้หนึ่งเข้ามาสู่พระชนม์ชีพของพระองค์ คือ นางสาวติ๋ว อภัยวงศ์ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าจอมสุวัทนา (ภายหลังคือพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี) พระครรภ์ของพระบรมราชินีก็ไม่สามารถมีพระราชโอรสได้เนื่องจากตกเสียไม่เป็นพระองค์ ในระหว่างแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระที่นั่งสมุทรพิมาน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระราชหฤทัยเป็นอันมาก แม้กระนั้นก็ยังทรงดูแลพระบรมราชินีด้วยทรงเป็นห่วงเป็นที่ยิ่ง เล่ากันว่า สะพานที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งเป็นสะพานไม้สักทอดยาวจากตัวพระตำหนักลงสู่ทะเล โดยมีหลังคาคลุมทางเดินตลอดนั้น รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างสำหรับสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรทะเล เรียกได้ว่าพระบาทไม่ต้องพื้นดินเลย
ส่วนเรื่องการทรงครรภ์ พระองค์ตกเสียสองครั้ง เนื่องจากพระองค์ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดไม่ได้หยุด จึงทำให้ตก และมีครั้งหนึ่งที่มีพระประสูติกาลก่อนกำหนด (ประมาณ 6 เดือน) เป็นพระราชโอรส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแล้วถึงกับน้ำพระเนตรไหล กระนั้นก็ยังทรงมีพระเมตตาต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงอ่านหนังสือพระราชทาน ทรงประคองและดูแลเป็นอย่างดี แต่ด้วยเหตุที่ไม่อาจฉลองพระเดชพระคุณในฐานะพระบรมราชินีได้อย่างสมบูรณ์ จึงมีพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนพระราชอิสริยยศลง
มีคุณข้าหลวงของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา เคยเขียนเล่าไว้ว่า
“...วันหนึ่งตอนสายๆ ขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่งพิมานจักรี ดิฉันยังเด็กไม่ทราบเรื่องอะไรดี พบมีคนอยู่หลายคนแล้วที่ห้องเสวยกลางวัน และมีพระแท่นของสมเด็จตั้งอยู่ เห็นมีผู้ชายเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เจ้าคุณแพทย์พงศา (สุ่น สุนทรเวช) หรือหลวงไวทย์ จำไม่ได้แน่ แต่มีหมอปัวซ์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่พร้อมกัน ในมือเจ้าพระยาธรรมฯ เชิญพานทององค์ใหญ่มาก มีผ้าขาวปูอยู่ในพานนั้น เห็นล้นเกล้าฯ ท่านทรงพระกรรแสงซับพระเนตรด้วยผ้าเช็ดพระพักตร์ เราหน้าตื่นถามพี่ๆ ผู้ใหญ่ก็ได้ความว่า สมเด็จฯ ท่านทรงแท้งพระโอรสพระชันษาได้ ๗ เดือนเสียแล้ว...”
และในครั้งนั้นสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ได้ทรงมีพระราชหัตเลขามาปลอบสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี มิให้ทรงโศกเศร้าในการตกพระโลหิตครั้งนี้ เพราะอย่างไรเสียในวันหน้าก็ยังทรงมีโอกาสที่จะทรงพระครรภ์อีกหลังจากนั้นก็ปรากฏว่า “วันหน้า” ของสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีได้ทรงพระครรภ์ขึ้นอีก และก็ตกพระโลหิตอีกครั้ง ณ พระที่นั่งสมุทรพิมาน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินแปดสิบเก้าไร่ ด้านหน้าติดถนนเพชรเกษม ตรงข้ามวัดพระประโทน จ.นครปฐม แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระราชทานนามที่ดินแห่งนี้ว่า สวนราชฤดี พร้อมกันนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระตำหนักเรือนไม้สองชั้นไว้พร้อมกับมีเครื่องตกแต่งที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ทรงควบคุมดูแลเครื่องตกแต่งนี้โดยทรงสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัยทรงสั่งให้ทางโรงเรียนเพาะช่างสร้างเป็นเครื่องเรือนสีขาวลายทองแบบหลุยส์เข้าชุดกันทั้งพระตำหนัก ทรงกำกับด้วยพระองค์เอง มีพระประสงค์จะทรงฝึกอบรมช่างไม้ไทยให้สามารถผลิตเครื่องเรือนหลุยส์ ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เครื่องเรือนชุดนี้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีทรงใช้เป็นประจำตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์


