ผู้นำตามนิยามของแม่ชีเทเรซ่า (A Moral Leader)
สืบเนื่องจากผมได้รับเกียรติไปบรรยายให้บรรดาผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหนึ่งฟัง
โดย ดร.ต้อง เดอะ ฟิลเตอร์ ภาพ : อีพีเอ/อีเอฟอี
สืบเนื่องจากผมได้รับเกียรติไปบรรยายให้บรรดาผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหนึ่งฟัง และทางผู้บริหารใหญ่ฝากให้ผมพูดถึงเรื่องของ แม่ชีเทเรซ่า เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ของผู้บริหารที่จะปรับ “Mindset” หรือ “ทัศนคติ” ของการนำที่เต็มไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม (Moral Development)
เพราะเห็นผมเคยเอ่ยถึงแม่ชีว่า มีแนวทางการบริหารองค์กรที่น่าศึกษา ทางผู้บริหารใหญ่เลยให้อบรมผู้บริหารตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับวีไอพีกว่าร้อยคน ในงาน Leadership Forum โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ และเป็นคนช่วยขมวดสรุปเพื่อให้ได้ข้อคิดที่ย่อยมาแล้วเป็น Key Takeaways หรือข้อคิดสรุปย่อ ให้ผู้บริหารได้กลับไปคิดทบทวนหลังจบการอบรมแล้ว
การคุยเรื่องแม่ชีไม่ยากนัก เพราะเรื่องราวชีวิตท่านค่อนข้างน่าสนใจ แต่การพูดเรื่อง “คุณธรรม” ให้คนฟังกว่าร้อยคนเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ทางผมคิดหนักว่าจะย่อยเนื้อหาอย่างไร? ให้น่าสนใจ เพราะการคุยเรื่องทำนองนี้ค่อนข้างเรียกเสียงหาว มากกว่ารอยยิ้มและความประทับใจ
การเดินเรื่องก็ต้องน่าสนใจ มีลูกเล่นลูกชน รวมถึงอนุญาตให้ถาม-ตอบ เพื่อไม่ให้คนฟังมาถึงก็ได้แต่ผงกหัว (หลับ) เพราะเรื่องทำนองนี้ดูจับต้องยาก และเอาไปใช้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
จริงๆ พอลองได้สืบค้นข้อมูล จะเห็นได้เลยว่า แนวทางการนำองค์กรของแม่ชีเทเรซ่าค่อนข้างทันสมัย และสามารถนำมาใช้ได้จริงในองค์กร เพราะแนวคิดที่รวบรวมมาจากชีวิตและคำสอน ผมสามารถแบ่งได้เป็นสามคำหลักคือ VIP ซึ่งสามคำนี้ ได้แก่คำว่า V (Vocation) I (Impression) และ P (Paradox)
1.V (Vocation)
คำนี้แม่ชีเทเรซ่าให้นิยามคำว่า งานว่าเป็นเสียงเรียกภายในใจ จริงๆ ถ้าเป็นศัพท์ง่ายๆ พวกเราจะเรียกว่าเป็น Passion คำนี้โดยปกติ ทางจิตวิทยา Positive Psychology ที่เรียกว่า Flow Theory ของเจ้าสำนักอย่าง Csikszentmihalyi จะถือว่างานคือ ภาวะที่เราหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง หรือที่เขาใช้คำว่า In the Zone
เขายกตัวอย่างผลของการมองงานเป็นเสียงเรียกให้ทำภายในใจเรา จนเราเข้าสู่ภาวะที่ไม่แคร์อะไร นอกจากงานที่อยู่ตรงหน้า ทำงานนั้นจนลืมคนรอบข้าง ลืมเสียงวิจารณ์ ลืมแม้กระทั่งว่า มีรางวัลอะไรรอเราอยู่ เพราะเราอินกับงานนั้น และรู้สึกได้ว่า มันคืองานที่ใช่ งานที่ชอบจริงๆ
ผู้นำที่ถูกเรียกให้นำ จะต้องทำจากเสียงเรียกภายในแบบนี้ ไม่แคร์ว่าใครจะว่าอะไรให้ช้ำใจแค่ไหน แต่ถือว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และเขาหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่มีแต่เขากับเสียงเรียกในใจให้ทำมันให้ดีที่สุด เขาทำจนลืมเวลา ลืมว่าเขาทำนานแค่ไหน เพราะสุขใจที่ได้นำ
คนที่ถูกเรียกให้เป็นผู้นำเท่านั้น จะเข้าใจแพสชั่นการเป็นผู้นำ และเขาจะทำมันได้ดี เมื่อทำมันจากเสียงเรียกข้างใน พอเราเข้าใจเสียงเรียกจากภายใน งานจะกลายเป็นภาวะที่นิ่งและมีสมาธิที่สุด แม้เรายุ่งแสนยุ่งก็ตาม
เพราะคำว่า Vocation มันมีฐานมาจากคำว่า Vocal คือเสียง สำหรับแม่ชีมันคือเสียงเรียกของพระผู้เป็นเจ้าให้ดูแลคนที่ถูกทิ้ง ขาดคนรัก แม่ชีเห็นใบหน้าของพระเยซูบนใบหน้าของผู้ถูกทอดทิ้งทุกคน และก็รักการดูแลคนเหล่านี้ทีละคนอย่างตั้งใจ
นอกจากนั้น บรรดาผู้ติดตามแม่ชีจะใช้เวลาคัดกรองคนนานถึงเก้าปี กว่าจะยอมรับให้เข้ามาเป็นกลุ่ม Sisterhood เพื่อร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
2.I (Impression)
แม่ชีมองว่า สิ่งสำคัญมากสำหรับผู้นำก็คือ การบริหารภาพที่คนอื่นมองเห็น (Impression) ถ้าจะเจาะลึกลงในรายละเอียด มันก็คือการบริหารสองสิ่ง สิ่งแรกคือ วาจา (Gift of Speech)
วาจาของผู้นำต้องทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกรักตัวเองขึ้น ทุกครั้งที่ผู้นำพูดด้วย เมื่อจากไป คนที่ได้ฟังจะอยากเป็นคนดีขึ้น รู้สึกมีค่าขึ้น ได้รับการท้าทายชีวิตให้ปรับไปในทางที่ดีขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องบริหารคือ ภาพลักษณ์ (Gift of Presence) แม่ชีเตือนบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เป็นซิสเตอร์ ว่าให้บริหารรอยยิ้ม นั่นคือให้ฝึกยิ้มจนถึงระดับฝืนยิ้ม ให้ยิ้มสู้ทุกสถานการณ์ ให้ยิ้มรับทุกคำติชม วิจารณ์ และให้มอบรอยยิ้มให้กับผู้ป่วยใกล้ตายทุกคนที่มาที่ศูนย์บำบัดทางจิตวิทยา
คนเราจะยิ้มได้เมื่อรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมมันปลอดภัยเท่านั้น แต่แม่ชีเทเรซ่าให้ข้อคิดว่า ตัวเราต่างหากที่ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมนั้น งานของแม่ชีอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่คอยวิจารณ์และไม่เห็นด้วย ยังรวมถึงการได้รับการข่มขู่คุกคามอยู่บ่อยๆ แต่แม่ชีก็ไม่เคยมองสิ่งเหล่านั้นเป็นสาระ ยังคงยิ้มสู้และสอนซิสเตอร์ทุกคนให้ยิ้มสู้เช่นกัน
3.P (Paradox)
แม่ชีเทเรซ่า เชื่อว่าผู้นำต้องมีความสามารถในการหาจุดเชื่อมโยงของความย้อนแย้งในตัวคน เพราะทุกคนมีทั้งจุดดีจุดด่างในตัว คนที่เราเห็นจุดด่างพร้อยและยังไม่เห็นจุดดีในตัวเขา เพราะเรายังใช้เวลากับเขาไม่พอ และเราต่างก็มีอคติในการมองคนด้านเดียว เพื่อจัดประเภทคน เช่น คนนี้ขี้นินทา คนนี้ขี้บ่น คนนี้ใจร้อน คนนี้ขี้น้อยใจ ฯลฯ ผู้นำที่มองลูกน้องได้มิติเดียว มักไม่สามารถเห็นใจหรือห่วงใยเขาได้ เพราะหมกมุ่นอยู่กับการวิพากษ์เขา และจะใช้คุณธรรมในเชิงวิพากษ์เท่านั้น
หรือที่เรียกว่า Moral Judgment แต่ไม่สามารถดึงจุดดีเขาออกมาเพื่อให้เขามีเวลาทำความเข้าใจกับจุดบกพร่องได้ดีขึ้น ซึ่งเรียกว่าคือ Moral Care แม่ชีเทเรซ่าสอนบรรดาสานุศิษย์ให้มองคนเพื่อหาจุดเชื่อมโยง ไม่ใช่มองเพื่อจัดประเภทตามอคติที่ตัวเองมีจากการพบเจอครั้งแรก
การเข้าใจจุดเชื่อมโยงดังกล่าวคือ Paradox ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
เพราะคนคนหนึ่งอาจขี้น้อยใจกับนาย แต่อาจจะใจกว้าง พร้อมอภัยคนที่บ้าน รวมถึงอาจเป็นคนเดียวที่หาเลี้ยงคนทั้งบ้านโดยไม่เคยปริปากบ่น แต่อีกคนที่ไม่เคยขี้น้อยใจ ทำงานดี แต่ที่บ้านอาจเป็นคนมีนิสัยปลีกตัว ไม่เอาใคร ดูแลเป็นแต่ตัวเองก็เป็นได้
หากเรายึดติดกับภาพแรก เราจะไม่เห็นจุดดีที่ซ่อนอยู่ในคนที่เรามองว่า ขี้น้อยใจ จนเราไม่เห็นจุดเชื่อมโยงที่จะดึงจุดดีเขามาช่วยให้เขาทำความเข้าใจกับความขี้ใจน้อยในที่ทำงาน ที่อาจทำให้นายกับเพื่อนร่วมงานปวดหัวอยู่
ผู้นำที่เป็น Moral Leader ตามนิยามของแม่ชีเทเรซ่า จึงต้องมีความเป็น VIP ในตัว ที่สามารถบริหารด้าน Soft Side (ด้านจิตใจ ไม่ใช่แค่งานเชิงระบบ) ของตัวเอง ตั้งแต่มุมมองเรื่องงาน เรื่องการบริหารภาพพจน์ รวมถึงการหาจุดเชื่อมโยงทั้งจุดดี จุดด่างของลูกน้อง เพื่อพัฒนาคนมากกว่า แค่อบรมสั่งสอน และวิพากษ์เขาจากมุมมองตัวเองเท่านั้น


