posttoday

ปาฏิหาริย์คืออะไร?

19 สิงหาคม 2561

ครั้งหนึ่งมีพระต่างนิกายท้าทายอาจารย์เซน บังเค โยตากุ ให้แสดงปาฏิหาริย์ แต่ท่านบอกว่า ไอ้ปาฏิหาริย์น่ะ หมาจิ้งจอกมันก็แสดงได้

โดย กรกิจ ดิษฐาน 

ครั้งหนึ่งมีพระต่างนิกายท้าทายอาจารย์เซน บังเค โยตากุ ให้แสดงปาฏิหาริย์ แต่ท่านบอกว่า ไอ้ปาฏิหาริย์น่ะ หมาจิ้งจอกมันก็แสดงได้ แล้วบอกว่า “ปาฏิหาริย์ของผม คือ หิวก็กิน คอแห้งก็ดื่ม”

คำตอบนี้ไม่ได้มีแค่ท่านบังเค (ชาวญี่ปุ่น) เท่านั้น แต่อาจารย์เซนชาวจีนก็ให้คำตอบเดียวกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เช่น ท่านไป่จ้าง มีศิษย์ถามว่าความลับของการตรัสรู้คืออะไร ท่านตอบว่า “ตอนหิวให้กิน ตอนเหนื่อยให้นอน”

พระอาจารย์เทียนหรัน กล่าวว่า การปฏิบัติฌานไม่มีคำสอน ไม่มีคำสั่ง “แค่ตอนหิวก็กิน คอแห้งก็หาอะไรดื่มซะ”

ความจริงสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ในศาสนาพุทธ มันเกิดจากผลของการปฏิบัติทั้งนั้น การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องสูงส่งเกินเอื้อม เป็นการอยู่กับตัวเองให้มาก ยุ่งเรื่องคนอื่นให้น้อย มองลึกเข้าไป ตามทันทุกอิริยาบถ กระทั่งการรับรู้ทุกอณูเซลล์ จน “เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น” หรือสัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมี ซึ่งไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไร เพราะมันอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่สติสตังของเรากระเจิดกระเจิงจนรับรู้ไม่ได้

ตัวอย่างเช่น การรับรสชาติ

ครั้งหนึ่งเจ้าคุณพระราชวรคุณ คิดว่า ผู้บรรลุธรรมแล้วคงจะไม่ยินดีในรสอาหาร ไม่รู้สึกรังเกียจหรืออร่อย แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านกรุณาบอกกล่าวว่า “เข้าใจถูกครึ่งหนึ่ง เข้าใจผิดครึ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นการดีแล้วที่มาพบเพื่อพยายามทำความเข้าใจ”

แล้วหลวงปู่ก็อธิบายต่อไปว่า

“ที่เข้าใจถูกนั้น ก็คือ ท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว สามารถตัดความยินดีในรสอาหารได้จริง

ที่ว่าผิดนั้น ก็เพราะท่านมีความรู้สึกรับรู้ถึงรสอาหารได้เป็นอย่างดี ผิดคนธรรมดาสามัญ ทั้งนี้เนื่องจากขันธ์ธาตุของท่านบริสุทธิ์หมดจดแล้ว สะอาดแล้ว ด้วยการชำระล้างแห่งธรรมอันยิ่ง ประสาทรับรู้รสอันประกอบด้วยเส้นตั้งพัน ตามที่ปรากฏในพระธรรมบท ขุททกนิกาย ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่รับรู้รสของตนได้อย่างอิสระเต็มที่เต็มทาง ตามความสามารถแห่งคุณสมบัติของตน จึงรู้รสชาติต่างๆ ได้อย่างชัดเจนละเอียดลออ ไม่ขาดไปแม้แต่รสเดียว และแต่ละรสมีรสชาติขนาดไหนก็รู้สึกได้ เสียแต่ว่าไม่มีคำพูดหรือภาษาที่บัญญัติไว้ให้พออธิบายได้เข้าใจเท่านั้นเอง ด้วยภูมิธรรมของปุถุชนสามัญธรรมดาหากสามารถรับรู้รสชาติเห็นปานนั้นได้ น่าที่จะต้องเกิดคลั่งไคล้ใหลหลงอย่างแน่นอน ถ้าได้บริโภคอาหารที่สมบูรณ์ด้วยคุณค่าและรสชาติจริงๆ

ดังนั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะได้รับการปรุงแต่งให้มีรสชาติมาก หรือรสชาติน้อยอย่างไร รสชาติบรรดาที่มีอยู่ในตัวอาหารนั้นๆ ท่านที่ปฏิบัติชอบแล้วก็สามารถรับรู้ได้จนครบถ้วนทุกรส แต่เมื่อรับรู้แล้วก็หมดกันเท่านั้น ไม่เกิดความยินดีพอใจสืบเนื่องต่อไป” (จากหนังสือพระราชวุฒาจารย์ {หลวงปู่ดูลย์ อตุโล} ต้นฉบับโดย พระราชวรคุณ {สมศักดิ์ ปณฺฑิโต} เรียบเรียงโดย รศ.ดร. ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์)

คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ทำลายทุกความเห็นผิดๆ ว่า ผู้บรรลุธรรมไม่รับรู้อะไรอีก ซึ่งทำให้คนกลัวกันว่าบรรลุธรรมแล้วจะไร้รสชาติ เหมือนหัวหลักหัวตอไร้ความรู้สึก และราวกับจะบอกว่า การพิจารณาถึงตัวถึงตนจนถึงที่สุด จะพบกับเรื่องน่าเหลือเชื่อ (แต่แสนธรรมดา) แบบนี้

ปาฏิหาริย์จากการมีสติพร้อมไม่ใช่การเหาะเหินเดินอากาศ แต่เป็นการสลายเมฆหมอกที่บดบังใจ เข้าถึงความวิจิตรพิสดารในตัวเราเอง

แต่รู้แล้วก็ปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น

มีพระรูปหนึ่งถามท่านต้าจู ฮุ่ยไห่ อาจารย์เซนสมัยราชวงศ์ถังว่า “จะแสวงหามรรคผล ต้องปฏิบัติตนเช่นไร?”

ท่านต้าจูตอบว่า “เมื่อหิวก็กิน เมื่อเหนื่อยก็นอน”

พระรูปนั้นแย้งว่า แบบนี้ไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญ แต่ท่านต้าจูแจงว่า

“คนทั่วไป เวลากินก็เหมือนมิได้กิน สติถูกครอบงำด้วยความคิดฟุ้งซ่านเป็นร้อยพัน เมื่อตอนหลับนอน ก็มิได้นอนจริงๆ จิตใจเต็มไปด้วยความคิดเพ้อฝันมากมาย”

ปาฏิหาริย์ของพระพุทธศาสนาง่ายๆ แค่มีสติก็พอมีแล้วจะรู้เองว่าเรื่องเหนือธรรมดา มันก็มาจากความธรรมดานี่เอง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68