จดทะเบียนนิติบุคคลหมู่บ้านถึงเวลาเปลี่ยนกฏกติกาใหม่
.....นคร มุธุศรี
พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 บัญญัติกฎกติกาในการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรว่า ต้องเข้าข่ายคุณสมบัติ 34 ประการ อาทิ จัดทำสาธารณูปโภคแล้วเสร็จ ผู้จัดสรรที่ดินดูแลครบ 1 ปี ผู้ขายแจ้งพ้นภาระหน้าที่พร้อมกำหนดนัดหมายประชุม และหลังได้รับหนังสือแจ้งจากผู้ประกอบการ ผู้ซื้อบ้านซื้อที่ดินลงมติเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งขึ้นไปของจำนวนแปลงย่อยทั้งหมดในโครงการขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหมู่บ้าน
บทบัญญัติข้อท้ายนอกจากจะเป็นอุปสรรคขวากหนามมิให้หมู่บ้านจัดสรรทั่วประเทศไทยสามารถจัดตั้งนิติบุคคลได้ตามเป้าประสงค์แล้ว ยังส่งผลให้เกิดความแตกแยกในชุมชนอย่างขนานใหญ่ เช่น ผู้ซื้อทะเลาะกับผู้ขาย เพื่อนร่วมซอยตั้งก๊กตั้งก๊วนแบ่งสีแบ่งฝ่าย ผู้พักอาศัยทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกันวุ่นวาย
สืบสาวราวเรื่องดูเถอะ ต้นสายปลายเหตุมักจะมาจากมีความเห็นไม่ตรงกันในการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านว่าจะเริ่มนับหนึ่งตอนไหน กอปรกับช่วงสุญญากาศยังไม่มีกฎระเบียบการอยู่อาศัยร่วมกัน
ใครใคร่ค้า เปลี่ยนบ้านเป็นร้านมินิมาร์ท เป็นร้านอาหาร...ทำ
ใครใคร่ต่อเติมพื้นที่ออกไปด้านหน้าหลังและด้านข้าง...ทำ
ใครใคร่ปล่อยหมาปล่อยแมวออกไปขี้เยี่ยวหน้าบ้านเพื่อน...ทำ
และอีกสารพัดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญกับเพื่อนร่วมซอย
ย้ำดังๆ อีกทีว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน มันเกิดจากกฎกติกาในการจัดตั้งนิติหมู่บ้านจัดสรรที่กำหนดให้มีผู้ซื้อลงมติเห็นชอบเกินครึ่งของทั้งหมดขึ้นไป ซึ่งในภาคปฏิบัติกระทำได้ยากยิ่ง
นี่ยังไม่นับตอนส่งและรับมอบสาธารณูปโภค ระหว่างผู้จัดสรรกับกรรมการหมู่บ้านที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงอีกบาน
ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่าๆ มา น่าจะถึงเวลาแก้บทบัญญัติ พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินในมาตรา 45 ที่กำหนดเอาไว้ ความว่า
“การจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการมีมติให้จัดตั้ง” เสียทีเปลี่ยนกฎกติกาใหม่เป็น
“
เมื่อผู้จัดสรรก่อสร้างสาธารณูปโภคทั้งโครงการแล้วเสร็จ และประสงค์จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ซื้อรายแรก ให้ผู้จัดสรรยื่นจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพร้อม ‘ข้อบังคับ’ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินสาขา”ว่าที่จริงก็ปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกับคอนโดมิเนียมนั่นแหละ
เหอะ...ไหนๆ จะยกเครื่องกฎหมายในส่วนนี้ทั้งที ทำไมกรมที่ดินถึงแก้เฉพาะสองประเด็น คือ
“การส่งมอบสาธารณูปโภคหรือที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะที่ผู้รับโอนจะต้องรับไปทั้งสิทธิทั้งภาระหน้าที่”และรายการที่สอง
“กรณีผู้ซื้อที่ดินไม่ประสงค์จัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ให้ผู้จัดสรรโอนสาธารณูปโภคเป็นสาธารณประโยชน์ได้ทันที โดยมิพักเสนอแผนบริหารอีกต่อไป”ว่าก็ว่าเหอะ หากเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้จดทะเบียนนิติบุคคลนับตั้งแต่วันโอนบ้านหลังแรก สองประเด็นในพารากราฟบนก็ไม่ต้องบัญญัติไว้ก็ยังไหว
นอกจากนั้น การจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านพร้อมๆ โอนบ้านหลังแรกเฉกเช่นเดียวกับอาคารชุดนั้น สามารถขจัดสารพันปัญหาการอยู่อาศัยชนิดได้ผลเต็มร้อย อีกทั้งยังเกิดสิ่งดีๆ อย่างน้อย 89 ประการ
อาทิ หนึ่ง
“สามารถจัดระเบียบหมู่บ้านได้ทันที นับตั้งแต่ผู้ซื้อรายแรกๆ ย้ายเข้าพักอาศัย” สอง “คณะกรรมการนิติบุคคลสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์จากที่อยู่อาศัยเป็นพาณิชย์อย่างได้ผล”สาม
“ป้องกันการตกแต่งต่อเติมและหรือการวางโต๊ะเก้าอี้ วางวัสดุอุปกรณ์รุกล้ำฟุตปาททางเท้า” สี่ “ไม่ต้องรอลุ้นคะแนนเสียงเห็นชอบให้จัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านตอนประชุมใหญ่”ห้า
“ไม่มีปัญหาในการส่งมอบและตรวจรับสาธารณูปโภค ระหว่างผู้จัดสรรกับคณะกรรมการนิติบุคคลอีกต่อไป” หก “ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้าน”เจ็ด
“ขจัดสุญญากาศ ระหว่างรอให้ครบถ้วนตามขั้นตอนและกฎกติกาได้ทันที” แปด “ลดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งและแบ่งกลุ่มแบ่งฝ่ายในชุมชนให้เหลือน้อยลงและหรือหายไป”เก้า
“ผู้ซื้อรายใหม่สามารถตรวจสอบรายการทรัพย์ส่วนกลาง และกฎระเบียบการอยู่อาศัยก่อนตัดสินใจจองซื้อได้ง่าย”หากกริ่งเกรงข้อครหาว่าอุ้มกระเตงผู้จัดสรรละทิ้งโครงการเร็วเกินไป ก็บัญญัติภาระหน้าที่เพิ่มอีกมาตรา โดยกำหนดให้บริษัทผู้ขายเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาและซ่อมแซมสาธารณูปโภคและทรัพย์สินส่วนกลางที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะไม่น้อยกว่า 2 ปี นับตั้งแต่วันจดทะเบียนนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร
ปรับแก้ได้อย่างนี้ น่าจะสมประโยชน์และแฮปปี้ทุกฝ่ายว่ามั้ย..


