posttoday

หูซื่อ - ศึกษาปัญหากันให้มากขึ้นนิด พูดเรื่องแนวคิดฯ กันให้น้อยลงหน่อย

24 มิถุนายน 2561

ชื่อ หูซื่อ คือปัญญาชนจีน เขาคือหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อการทั้งสิ้น เหมาเจ๋อตงเมื่อวัยรุ่นเคยมีหูซื่อเป็นหนึ่งในไอดอลความคิด ส่วนเจียงไคเช็คก็กระหายที่จะดึงหูซื่อมาประดับบารมี บทความนี้มีชื่อว่า “ศึกษาปัญหากันให้มากขึ้นนิด พูดเรื่องแนวคิดฯ กันให้น้อยลงหน่อย” (多研究些问题,少谈些主义) ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1919

ชื่อ หูซื่อ คือปัญญาชนจีน เขาคือหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อการทั้งสิ้น เหมาเจ๋อตงเมื่อวัยรุ่นเคยมีหูซื่อเป็นหนึ่งในไอดอลความคิด ส่วนเจียงไคเช็คก็กระหายที่จะดึงหูซื่อมาประดับบารมี บทความนี้มีชื่อว่า “ศึกษาปัญหากันให้มากขึ้นนิด พูดเรื่องแนวคิดฯ กันให้น้อยลงหน่อย” (多研究些问题,少谈些主义) ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1919

หูซื่อว่า “ช่วงนี้การถกเถียงของสาธารณชนออกจะอันตราย เพราะต่างมุ่งถกเถียงกันแต่ในหน้ากระดาษ แต่ไม่ได้ลงไปสัมผัสความเป็นจริงว่าสังคมจีนในทุกวันนี้ต้องการอะไรกันแน่ ข้อวิจารณ์ต่อไปนี้ของผม คงมีคนจำนวนมากไม่อยากจะฟัง...” หูซื่อไม่ได้ออกตัวแรงไปเอง แต่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการทุ่มแนวคิดฯ เข้าใส่กัน ทุกท่านคงพอเข้าใจกันได้ หูซื่อยังแจกแจงธรรมชาติที่ควรระวังของแนวคิดฯ ไว้ 3 ข้อ

“หนึ่ง การพูดเรื่องแนวคิดฯ เลิศหรูน่าฟังด้วยปากเปล่าเป็นเรื่องง่าย ใครก็ทำได้...เป็นพฤติกรรมของนกแก้วนกขุนทองหรือไม่ก็เครื่องบันทึกเสียง สอง มัวแต่พูดแนวคิดฯ ที่นำเข้ามาจากเมืองนอกเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แนวคิดฯ ทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่มุ่งมั่นพยายามลุกขึ้นมาแก้ปัญหาที่จำเป็นในบางพื้นที่ บางยุคสมัยของสังคม

ถ้าพวกเราไม่ศึกษาความต้องการของสังคมที่แท้จริงในปัจจุบัน มัวแต่เชิดชูแนวคิดฯ นี้นั้นกันอย่างเดียว ก็เหมือนหมอที่จำสูตรยารักษาโรคได้มากมาย แต่ไม่เคยไปศึกษาโรคที่เกิดขึ้นของคนไข้ แล้วจะใช้ประโยชน์อะไรได้เล่า ข้อสาม เห็นดีเห็นงามกับแนวคิดฯ บนกระดาษเป็นเรื่องอันตราย คำคมคำขวัญของแนวคิดฯ บนกระดาษมากมายถูกพวกนักเล่นการเมืองฉวยเอามาหาประโยชน์เพื่อทำลายทำร้ายคนอื่นได้ง่ายนัก...”

“อย่างที่มาดามโรลองด์พูดไว้ “อิสรภาพเจ้าเอย เจ้าถูกอาชญากรรมยืมใช้ชื่อเจ้ามานักต่อนัก” ภายใต้แนวคิดฯ ที่น่าฟัง ยังแฝงไว้ด้วยอันตรายเช่นนี้ได้ทั้งสิ้น”

“ปกติแล้วแนวคิดฯ เกิดได้เพราะมันตอบสนองต่อปัญหา เมื่อสังคมและยุคสมัยได้รับอิทธิพลบางอย่างมาแล้วเดินทางมาพบกับสถานการณ์ที่ไม่พึงใจ... คนจำนวนหนึ่งจึงลุกขึ้นมา”

“ปรากฏการณ์แบบนี้ ผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหา นี่คือต้นกำเนิดของแนวคิดฯ... จากแนวคิดฯ กลายเป็นแนวทาง กลายเป็นแผนการที่จับต้องได้ แล้วกลายเป็นคำนามธรรม”

“จุดอ่อนและอันตรายของแนวคิดอยู่ตรงนี้ เพราะโลกเราไม่มีคำศัพท์ทางนามธรรมใดที่จะสามารถเอาคนพวกไหน หรือแนวคิดใดรวมเอาไว้ในคำๆ เดียวได้ทั้งหมด”

“แนวคิดสังคมนิยมของคุณ กับแนวคิดสังคมนิยมของฉันจึงไม่เหมือนกัน... คุณพูดสังคมนิยมของคุณ ฉันก็พูดสังคมนิยมของฉัน คำว่าสังคมนิยมเหมือนกัน บางทีก็ห่างกันสองสามร้อยลี้... แต่ทั้งคุณและผมต่างถูกอำว่าเป็นพวกแนวคิดสายสังคมนิยมหมด...นี่แหละคือจุดอ่อนที่เป็นอันตราย”

“พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ขอให้พวกท่านศึกษาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรให้มากขึ้นอีกหน่อย อย่าไปมัวเชิดชูว่าแนวคิดฯ นี้นั้นสูงส่งหรือเลิศเลออย่างไร”

“...ไม่ศึกษาคุณภาพชีวิตของคนลากรถลาก แต่กลับมาอวยแนวคิดสังคมนิยม ไม่ไปศึกษาว่าจะแก้ไขปัญหาภายในระบบครอบครัวอย่างไร แต่กลับไปอวยเสรีภาพทางความรัก... ไม่ศึกษาปัญหาบ้านเมือง แต่ไปอวยแนวคิดสังคมไร้รัฐ แถมยังประกาศอย่างภาคภูมิว่า “พวกเราพูดกันถึงแก่นของปัญหา” พูดกันจริงๆ เถอะว่า นี่เป็นคำเพ้อฝันหลอกตัวเองไปวันๆ นี่เป็นหลักฐานสำคัญในความล้มละลายของโลกนักคิด... และนี่เป็นคำประกาศอย่างเป็นทางการว่าการปฏิรูปสังคมจีนได้ตายไปแล้ว”

“ทำไมจึงมีคนจำนวนมากพูดเรื่องแนวคิดฯ ทำไมคนที่ลงไปแก้ปัญหาหน้างานจริงจึงน้อยนัก เรื่องนี้มีที่มาจากคำว่า “คร้าน” “คร้าน” ก็คือจะเลือกที่ง่ายหลีกเลี่ยงที่ยาก การศึกษาปัญหาเป็นเรื่องยาก ยกย่องเชิดชูแนวคิดฯ เป็นเรื่องง่าย...”

“...เรื่องแก้ปัญหาต้องใช้เวลา ใช้แรงกายแรงใจ ใช้การรวบรวมข้อมูล ขอความเห็น หาความจริง ต้องลำบากลำบนจึงจะได้ความคิดที่แก้ปัญหาได้”

...ไม่มีคำคมของนักคิดนักเขียนคนไหนมาให้ใช้ได้เก๋ๆ ไม่มีหนังสือเล่มไหนให้หาเฉลย ทั้งหมดต้องใช้เวลาศึกษาทั้งสิ้น “ไม่เรียกว่ายากจะเรียกอะไร”

“แต่สมมติว่าคิดจะอวยแนวคิดสังคมไร้รัฐ อันนั้นละคนละเรื่อง” แค่ซื้อหนังสือสองสามเล่ม ขยันเข้าเว็บอีกซักหน่อย ก็พูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว “นี่ไม่เรียกว่าง่ายแล้วจะเรียกว่าอะไร”

“คนที่เอาแต่เชิดชูแนวคิดฯ แต่ไม่ศึกษาปัญหา... ก็เป็นแค่คนขี้คร้านเท่านั้นเอง”

“แนวคิดฯ ที่มีคุณค่า ต่างเริ่มจากปัญหาที่จับต้องได้ ศึกษาความเป็นจริงของปัญหาแต่ละด้าน ตรวจสอบว่าโรคร้ายอยู่ตรงไหน นี่คือแรงกายที่นักคิดต้องใช้ในยกแรก

จากนั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ศึกษามา นำเสนอวิธีแก้ไขปัญหา จ่ายยาแก้ไข นี่คือแรงที่นักคิดต้องใช้ในยกที่สอง แล้วใช้ความรู้และประสบการณ์ เพิ่มความสามารถในการคาดเดาและคิดจินตนาการ เพื่อแก้ไขข้อสันนิษฐาน ต้องทบทวนว่ากรรมวิธีที่ใช้แก้ปมปัญหาได้หรือไม่ และผลของการคิด คือการฝึกฝนการแก้ปัญหาข้อสันนิษฐาน จนกลายมาเป็นแนวคิดแนวปฏิบัติ นี่คืองานยกที่สาม”

“แนวคิดที่มีคุณค่า ต่างผ่านสามยกนี้มาแล้วทั้งสิ้น ถ้าไม่ผ่านสามข้อนี้ก็แค่นักก๊อบปี้เท่านั้น”

“อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้จะชวนให้เลิกศึกษาแนวคิดฯ ใดๆ แนวคิดเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง ...ต้องเรียนรู้และศึกษาไว้ เมื่อมีทฤษฎีและได้เห็นปัญหาที่แท้จริง จึงจะหาวิธีแก้ไขได้ แต่ผมหวังว่านักออกความเห็นของจีนจะเอาแนวคิดฯ ทั้งหลายเสริมไว้เบื้องหลังสมอง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา แต่อย่าเอามาแขวนไว้ที่ปากเพื่อป่าวประกาศเรียกแขก...”

“อันตรายของแนวคิดฯ ก็คือ ทำให้คนพึงพอใจ คิดไปเองว่าได้ค้นพบยาขนานเอกที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ แล้วต่อจากนั้นไม่ต้องใช้แรงใช้กำลังไปศึกษาวิธีการปัญหาใดๆ อีกต่อไปแล้ว”

อย่าเข้าใจผมผิด...ทั้งหมดผมไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อยุคปัจจุบัน ได้แต่แค่แปลและเรียบเรียงงานเขียนของหูซื่อที่เขียนไว้เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วใหม่ เท่านั้นเอง

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย