เจาะ DNA หาตระกูลโจโฉ
ตั้งแต่ปี 2008 มาแล้วที่มหาวิทยาลัยฟูตั้นได้ริเริ่มโครงการหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจพิสูจน์ DNA
ตั้งแต่ปี 2008 มาแล้วที่มหาวิทยาลัยฟูตั้นได้ริเริ่มโครงการหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจพิสูจน์ DNA หนึ่งในโครงการย่อยที่มหาวิทยาลัยพยายามโปรโมทและได้รับความสนใจอย่างมากจากสังคมจีน คือโครงการเสาะหา DNA ของตระกูลโจโฉ นอกจากความดังของโจโฉ ปริศนาชาติกำเนิดของโจโฉในบันทึกประวัติศาสตร์ยังทำให้การวิจัยนี้เป็นที่สนใจ มีคำพูดว่า “หากอยากรู้ว่าบรรพบุรุษตัวเองเป็นใคร ให้ลองไปเป็นนักการเมืองดู” 1,800 ปีที่แล้วก็ไม่ต่างกัน โจโฉซึ่งเป็นผู้นำก๊กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกลียุค-สามก๊ก จึงถูกขุดคุ้ยประวัติบรรพบุรุษโดยศัตรูร่วมสมัยเป็นธรรมดา
อ้วนเสี้ยวศัตรูตัวฉกาจรายแรกของโจโฉประณามว่าปู่ของโจโฉเก็บเด็กข้างถนนมาเลี้ยง จนให้กำเนิดมาเป็นพ่อของโจโฉ ส่วนก๊กซุนกวนกอสซิปว่าพ่อโจโฉเป็นลูกหลานสกุลแฮหัวที่ถูกปู่ของโจโฉรับมาเลี้ยงต่างหาก ซึ่งถือเป็นการหยามเหยียดไม่น้อยสำหรับวัฒนธรรมจีนโบราณ เรื่องนี้มีที่มา ก็เพราะที่จริงแล้วปู่ของโจโฉนั้นเป็นขันที เรื่องพ่อของโจโฉเป็นลูกเลี้ยงจึงไม่ต้องสงสัย แต่จะถึงขั้นเก็บมาเลี้ยงก็ใช่ที่ ปู่ของโจโฉย่อมมีทางเลือกที่คนจีนโบราณเขาทำกัน นั่นคือไปขอลูกจากญาติพี่น้องใกล้ชิดในตระกูลเดียวกันมาเป็นลูกบุญธรรม
ส่วนข้อสงสัยว่าโจโฉจะมาจากตระกูลแฮหัวก็มีที่มาอีกเช่นกัน เพราะในช่วงที่โจโฉตั้งตัวมีคนในตระกูลแฮหัวก็มาร่วมช่วยเหลือกันมากมายดุจญาติสนิทจนดูใกล้ชิดเกินเหตุ อ้วนเสี้ยวและคนในก๊กซุนกวนจึงนำมาขยายความให้น่าอดสู น่าเหยียดหยามก่อนอื่น เพราะว่างานวิจัยชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลโจโฉหลายยุคหลายสมัย และชื่อโจโฉเป็นชื่อในสำเนียงฮกเกี้ยน ซึ่งนิยมใช้กันเฉพาะพงศาวดารจีนในไทย หากจะอ้างอิงผู้คนนอกพงศาวดารจีนแปลไทยแล้ว ใช้สำเนียงภาษาจีนกลางอ้างอิงย่อมลื่นไหลกว่า หลังจากนี้จึงขอใช้ชื่อ
โจโฉในสำเนียงจีนกลาง ซึ่งออกเสียงว่า เฉาเชา
แน่นอนว่าเฉาเชาไม่ใช่คนดังบุคคลเดียวในประวัติศาสตร์จีนที่มีปริศนาในชาติกำเนิด ที่ทีมวิจัยเลือกใช้เฉาเชา นอกจากความดังแล้วยังมีอีกหลายเหตุผล เพราะการค้นหา DNA ของตระกูลเฉาเชาที่ตรวจสอบง่ายที่สุด ย่อมเริ่มที่การรวบรวม DNA ของลูกหลานเฉาเชาในปัจจุบันจำนวนหนึ่งมาตรวจว่ามีส่วนร่วมเหมือนกันตรงไหน จากสถิติประชากร คนแซ่เฉาในจีนมีจำนวนประมาณ 7 ล้าน 7 แสนคน แม้ดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่หากสุ่มตรวจแค่คนหนึ่งของสายตระกูลจะจัดว่าอยู่ในปริมาณพอเหมาะ (ตรวจแค่ใครคนใดคนหนึ่งในตระกูล ย่อมน่าจะได้ผลเป็น DNA สายตระกูลเดียวกัน) ไม่น้อยไป ไม่มากไป
แต่หากเป็นบุคคลสำคัญคนอื่นที่มีคนใช้แซ่เดียวกันเป็นจำนวนมากกว่านี้ ก็จะเพิ่มปริมาณความยุ่งยากลำบากขึ้นอีกไม่น้อย (บางแซ่มีประชากรเป็นร้อยล้านคน) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแซ่เฉาคนไหนคือทายาทเฉาเชา?...ก็เริ่มต้นด้วยการดูสาแหรกตระกูล
สำหรับวัฒนธรรมจีนซึ่งให้ความสำคัญกับสายตระกูล จึงมีข้อมูลสาแหรกตระกูลที่หลงเหลือไว้เป็นจำนวนไม่น้อย ทีมวิจัยจึงเข้าไปเก็บข้อมูลกับบุคคลที่มีบันทึกในสาแหรกที่อ้างว่าบรรพบุรุษของตนสืบเชื้อสายมาจากเฉาเชา หรือลูกหลานของเฉาเชา (เช่น โจผี โจสิด ลูกของโจโฉ) แล้วสาแหรกพวกนี้จะน่าเชื่อถือหรือไม่? เพราะอันที่จริงหากบรรพบุรุษเราอยากจะดัง ย่อมจะเขียนว่าพวกตนเป็นญาติกับเฉาเชา ก็ย่อมได้...หรือไม่
ก่อนอื่นธรรมเนียมการบันทึกสาแหรกตระกูลจีนในสมัยโบราณก็มีความเคร่งครัดของมันอยู่ เนื่องจากในยุคโบราณระบบการรับคนเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักจีนจะพิจารณารับเฉพาะเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลขุนนางเป็นหลัก ทางการจึงเคร่งครัด และมีบันทึกสาแหรกคนใหญ่คนโตไว้กับตัวเพื่อกันพวก Nobody มาแอบอ้างว่า “รู้มั้ย พ่ออั๊วคือใคร” แต่ความเคร่งครัดนี้ก็สิ้นสุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งระบบรับราชการเปิดกว้างให้ทุกชนชั้นสอบรับราชการได้ ราชสำนักจึงไม่จำเป็นต้องจริงจังกับสาแหรกตระกูลไหนๆ อีกต่อไป เพราะไม่ว่าเป็นใครก็ใช้สอบวัดผลเอา
โชคดีในโชคร้ายที่ว่าชื่อเสียงเฉาเชาแม้ยิ่งใหญ่ แต่พอถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง ชื่อเฉาเชาก็เริ่มยิ่งใหญ่ในทางเลวร้าย จึงน่าเชื่อว่าในสมัยหลังๆ คงไม่มีใครอยากจะอวดอ้างว่าเป็นลูกหลาน และผลจากการสืบเสาะสาแหรก ปรากฏว่ากลุ่มที่เชื่อว่าสืบเชื้อสายจากเฉาเชาที่พบได้ในปัจจุบัน ต่างกระจายอยู่ห่างกันในหลายมณฑลจนไม่รู้ว่าตนเกี่ยวข้องกันมานานแสนนาน ยิ่งทำให้เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ดียิ่งในการตรวจสอบ
ทีมงานของมหาวิทยาลัยจึงตรวจสอบ DNA พวกเขา รวมถึงกลุ่มคนแซ่เฉาที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเฉาเชา รวมถึงคนสกุลเซี่ยโหว (แฮหัว) เพื่อ Crosscheck ข่าวลือ ผลการวิจัยสรุปว่า ผู้ที่มีหลักฐานอ้างว่าสืบเชื้อสายจากเฉาเชามีรหัส DNA ในโครโมโซม Y ชุดหนึ่งร่วมกัน คือ O2*-268M ทีมวิจัยอ้างว่าผลการวิเคราะห์นี้เชื่อได้ 92.7% ว่า O2*-268M คือรหัสของตระกูลเฉาเชา แต่จะยืนยันแน่ว่าเป็นเชื้อสายเฉาเชาได้ต้องไปหา DNA ของบรรพบุรุษต้นทางมาเปรียบเทียบ
โชคดีที่เมืองป๋อโจว เคยขุดพบสุสานของเฉาติ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของพ่อเฉาเชา และยังมีกระดูกฟันของเฉาติ่งเก็บเอาไว้ อันที่จริงการสกัด DNA จากกระดูกโบราณมีความยากลำบาก ทั้งในเรื่องเส้น DNA ที่สกัดได้มักขาดตอนและปนเปื้อน แต่กระดูกฟันมีความพิเศษเพราะเป็นกระดูกที่มีสารเคลือบผิว มีแนวโน้มจะรักษา DNA ไว้ได้ดีกว่า ทีมวิจัยจึงเจาะเก็บตัวอย่าง DNA จากเนื้อฟันมาสกัดครั้งแล้วครั้งเล่าจนพบว่า DNA ของเฉาติ่ง มีโครโมโซม Y รหัส O2*-268M เช่นกัน เป็นอันว่ายืนยันได้ว่า ลูกหลานเฉาเชาได้สืบทอดเชื้อสายมาถึงทุกวันนี้จริง และจากการวิจัยเชื้อสายสกุลเซี่ยโหว (แฮหัว) ก็ค้นพบว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอะไรกับเฉาเชา
จึงสรุปได้ว่าพ่อของเฉาเชาแม้เป็นลูกเลี้ยง (เพราะปู่เป็นขันทีย่อมไม่มีลูก) แต่ก็เป็นลูกเลี้ยงที่รับมาจากเครือญาติสกุลเฉาตามธรรมเนียมที่ชาวจีนพึงปฏิบัติกันเป็นปกติ มิได้เก็บมาจากข้างถนน หรือไม่ได้เป็นคนนอกตระกูล ชื่อเสียงของเฉาเชาจึงถูกชำระด้วยประการฉะนี้ การวิจัยนี้มีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงคัดค้าน เสียงค้านย่อมไม่พ้น “ว่างนักหรือไร และมันจะมีประโยชน์อะไรกับการวิจัยเรื่องแบบนี้” แต่สำหรับทีมวิจัยซึ่งมองรอบด้าน งานวิจัยชิ้นนี้คือก้าวแรกของการนำการวิจัยเชิงนิติวิทยาศาสตร์มาประกอบร่างรวมกับงานโบราณคดีเพื่อตรวจสอบประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจถูกบันทึกไว้อย่างไม่เป็นกลาง และอาจละเลยข้อมูลที่ช่วยทำให้คนยุคหลังเข้าใจสถานการณ์ในอดีตมากมาย
ในขณะเดียวกัน วิทยาศาสตร์ก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากความรู้ด้านต่างๆ เช่น หากปราศจากความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เรื่องความน่าเชื่อถือในการบันทึกสาแหรกตระกูล หรือชื่อเสียงของเฉาเชาที่มีผลต่อการทำสาแหรก ย่อมทำให้งานวิจัยนี้ยากลำบากขึ้นอีกไม่น้อย การวิจัยอื่นในโครงการนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก เช่น “ชาวจีนเชื้อสายฮั่นในแต่ละท้องถิ่นเป็นจีนฮั่นโดยสายเลือด หรือเพียงแค่รับวัฒนธรรมแล้วกลายเป็นจีนฮั่น” “ชาวมองโกลในยุคราชวงศ์หยวน และชาวแมนจูในยุคราชวงศ์ชิงที่ปกครองจีนอยู่นับร้อยปี ได้ร่วมตระกูลกับชาวฮั่นมากน้อยเพียงใด”
และยังสามารถเสาะหาคำตอบของคำถามที่ว่าชาวจีนมีบรรพบุรุษร่วมกันตามตำนานว่าชาวจีนเป็นลูกหลานของหวงตี้จริงหรือไม่ และช่วงเวลานั้นน่าจะอยู่ในยุคสมัยไหน เรื่องเฉาเชาเป็นลูกหลานใครจึงไม่ใช่แค่งานวิจัยเพราะเงินเหลือ แต่เป็นการใช้ประวัติศาสตร์ดึงดูดให้ผู้คนสนใจวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถนำกลับมาหาคำตอบให้กับประวัติศาสตร์เพิ่มเติมอีกช่องทาง ไม่ต่างกับงานด้านวรรณกรรมที่มีบทบาทดึงดูดให้ผู้คนสนใจเสาะแสวงหาความจริงในประวัติศาสตร์ได้อย่างดี และการผสานความรู้ข้ามสาขาเช่นตัวอย่างข้างต้น คือแนวทางของโลกยุคนี้ ซึ่งไม่มีที่เหลือให้กับความคิดประเภทวิชาใครวิชามันอีกต่อไป


