ภาพพอร์เทรตสไตล์ จอห์น ซิงเงอร์ ซาร์เจนท์
จอห์น ซิงเงอร์ ซาร์เจนท์ ได้การยอมรับว่า เป็นยอดนักวาดภาพพอร์เทรตในยุคสมัยของเขา (มีชีวิตระหว่างปี 1856-1925)
โดย ปณิฏา
จอห์น ซิงเงอร์ ซาร์เจนท์ ได้การยอมรับว่า เป็นยอดนักวาดภาพพอร์เทรตในยุคสมัยของเขา (มีชีวิตระหว่างปี 1856-1925) ที่เรียกว่าเป็นยุคแห่งความหรูหราสไตล์พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด (Edwardian era luxury)
ในช่วงชีวิตของจิตรกรอเมริกันรายนี้ ได้สร้างสรรค์ผลงานสีน้ำมันเอาไว้ราว 900 ภาพ กับอีกกว่า 2,000 ภาพสีน้ำ รวมถึงภาพสเกตช์และดรอว์อิ้งอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะที่ปรากฏในบันทึกการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่เมืองเวนิซในอิตาลี ไปทีโรล ออสเตรีย คอร์ฟู ในกรีซ ไปจนถึงตะวันออกกลาง รวมทั้งหลายแห่งในสหรัฐ อย่างรัฐมอนทานา, เมน และฟลอริดา
เขาเกิดในครอบครัวชาวอเมริกัน ทว่าได้รับการฝึกฝนด้านศิลปะในกรุงปารีสและลอนดอน โดยสร้างชื่อเสียงในฐานะจิตรกรต่างชาติผู้เอกอุทางด้านภาพวาดพอร์เทรต และมีผลงานแสดงในซาลง หรือแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะในกรุงปารีสเป็นประจำ (Paris Salon)
นับตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียง จอห์น ก็แสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญในเทคนิคการใช้ฝีแปรงที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับทั้งเสียงชื่นชม แต่ก็มีบางคนวิจารณ์ว่า เป็นงานที่ฉาบฉวย เขาได้รับงานวาดภาพพอร์เทรตมากมาย โดยเฉพาะคนดังๆ ในแวดวงสังคม หากในอีกด้านหนึ่ง เขาก็สนใจศึกษาการวาดภาพแนวอื่นๆ เป็นการส่วนตัว อย่างเช่นภาพทิวทัศน์ (Landscape) ที่ออกมาดูคล้ายกับภาพวาดจากยุคอิมเพรสชันนิสม์
ก่อนที่ จอห์น จะเกิด ฟิตซ์วิลเลียม จักษุแพทย์ในฟิลาเดลเฟีย และแมรี่ ภรรยาของเขา ได้สูญเสียลูกสาวไปในวัยเพียง 2 ขวบ ทั้งคู่จึงตัดสินใจออกเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อที่จะฟื้นฟูจิตใจ นับจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางไปทั่วตลอดชีวิตของพวกท่าน
แม้ว่าจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในกรุงปารีส แต่ครอบครัวซาร์เจนท์ก็มักจะเดินทางไปพักผ่อนตามชายทะเลและภูเขาในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์อย่างสม่ำเสมอ โดยขณะที่ตั้งครรภ์ จอห์น ซิงเงอร์ ซาร์เจนท์ พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในกรุงฟลอเรนซ์ แคว้นทัสคานี ของอิตาลี เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคอหิวาต์ในยุโรป
จอห์น เป็นเด็กดื้อและเลี้ยงยากมาก แม่ของเขาก็เลยใช้วิธีออกเดินทางไปทั่วยุโรป พาเขาไปยังพิพิธภัณฑ์และโบสถ์คริสต์สำคัญๆ เพื่อการศึกษา ด้วยความที่แมรี่ แม่ของเขาเป็นนักวาดภาพสมัครเล่น ขณะที่พ่อฟิตซ์วิลเลียม ก็มีความสามารถทางด้านการสเกตช์ภาพเชิงการแพทย์ ทั้งคู่จึงซื้อสมุดสเกตช์ภาพให้ลูกชาย และกระตุ้นให้เขาวาดภาพระหว่างเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จอห์นวาดภาพอย่างตั้งอกตั้งใจมาก จนแม่เห็นแววว่าลูกชายเรียนรู้ด้านศิลปะอย่างรวดเร็ว จึงส่งไปเรียนจริงจัง เริ่มจากสีน้ำกับจิตรกรชาวเยอรมัน คาร์ล เวลช์ ก่อน กลับมายังกรุงปารีส และไปเรียนกับ กาโครลุส-ดูคร็อง (ชาร์ลส์ โอกุสต์ เอมิล ดูคร็อง) นักวาดภาพพอร์เทรตชาวฝรั่งเศส และอาจารย์สอนศิลปะที่กำลังโด่งดังด้านเทคนิคการสอนศิลปะสมัยใหม่
ความพยายามสอบเข้าโรงเรียนศิลปะชื่อดังแห่งกรุงปารีส ที่เข้ายากแสนยาก อย่าง เอกอล เดส์ โบซาร์ตส์ (Ecole des Beaux-Arts) ของจอห์น ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก แถมด้วยผลการเรียนระดับเหรียญเงินทีเดียว พร้อมๆ กัน เขาก็ฝึกฝนฝีมือนอกห้องเรียนอย่างหนัก ทั้งไปวาดภาพก๊อบปี้บรรดาโอลด์มาสเตอร์ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ รวมทั้งวาดภาพในสตูดิโอที่แชร์กับเพื่อนจิตรกรชาวอเมริกัน เจมส์ คาร์โรล เบควิท แถมยังไปเรียนเพิ่มกับจิตรกรดัง เลอง บอนนาต์ อีก
สิ่งที่ได้รับจากห้องเรียนของ กาโครลุส-ดูคร็อง นั้นล้ำสมัยมาก เขาไม่สนขนบ หากเน้นไปที่การใช้ฝีแปรงอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสไตล์ ดิเอโก เบลาสเกซ จิตรกรดังชาวสเปน ซึ่งขนาดคนที่ยึดขนบแบบสถาบันหนักๆ อย่าง โทมัส เอคินส์ และจูเลียน อัลเดน เวียร์ 2 ศิลปินชาวอเมริกัน ยังยอมรับว่า จอห์น ซิงเงอร์ ซาร์เจนท์ เป็นจิตรกรที่เก่งมากจริงๆ
จริงๆ แล้ว จอห์นชอบวาดภาพแลนด์สเคปมากกว่าภาพพอร์เทรต เห็นได้จากผลงานที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันของเขา ไม่ว่าจะเป็นภาพภูเขา ทะเล หรืออาคารบ้านเรือนต่างๆ หากบรรดาอาจารย์ที่เขาไปร่ำเรียนด้วย ทั้งกาโครลุส-ดูคร็อง และเลอง บอนนาต์ นั้นล้วนแต่มาทางสายพอร์เทรตทั้งนั้น เขาจึงต้องเดินทางสายนี้ไปโดยปริยาย
ภาพพอร์เทรตในช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่เป็นภาพเต็มตัวของบรรดาสาวสังคมทั้งหลายในชุดสุดหรูหรา ซึ่งแต่ละภาพแสดงออกถึงบุคลิกภาพความเป็นตัวตนของผู้เป็นแบบ
ภาพที่ได้รับการโจษจันมากที่สุด เห็นจะเป็น The Daughters of Edward Darley Boit (1882) ภาพวาดลูกสาวของเอ็ดเวิร์ด ดาร์ลีย์ บอยต์ ที่ดูบรรยากาศหลอนๆ หน่อย ที่เขาได้อิทธิพลจากภาพวาด Las Meninas ของดิเอโก เบลาสเกซ จิตรกรชาวสเปนที่เขาชื่นชอบนั่นเอง
Portrait of Madame X (1884) ภาพวาดของมาดาม ปิแอร์ โกโทร เป็นอีกภาพที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม้เป็นพอร์เทรตที่จอห์นชื่นชอบมากโดยส่วนตัว แต่เมื่อนำไปแสดงที่ซาลง กลับได้เสียงก่นด่าว่าเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม และถูกถอดออกจากนิทรรศการไปแทบจะทันที แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนชุดดั้งเดิมที่เป็นราตรีเกาะอก ด้วยการเติมสายของชุดเข้าไปแล้วก็ตาม ยิ่งได้ยินเบื้องหลังว่า ภาพนี้มาดาม ปิแอร์ โกโทร ไม่ได้เป็นคนว่าจ้าง หากจอห์นเป็นคนขอวาดเธอในชุดนี้เอง ยิ่งทำให้ภาพวาดนี้ได้รับคำวิจารณ์มากกว่าเดิม
จอห์นวางแผนจะย้ายมายังกรุงลอนดอนในปี 1882 แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาสักที กระทั่งเกิดเหตุกับภาพ Portrait of Madame X ทำให้เขาตัดสินใจได้ทันที แต่นักวิจารณ์ในอังกฤษนี่ดูจะช่างเหน็บแนมเสียยิ่งกว่า Portrait of Mrs. Henry White (1883) ภาพที่ดูแหกคอกน้อยที่สุด ได้รับคำวิจารณ์จากชาวเมืองผู้ดีว่า ชาญฉลาดในการวาด แต่ดูฝรั่งเศ้ส-ฝรั่งเศส เทคนิคฝีแปรงดูแข็ง และไม่มีจุดเด่นอะไรเลย
จอห์นใช้เวลาส่วนใหญ่ออกไปวาดภาพในชนบทของอังกฤษ โดยตอนที่ไปเยี่ยม โคล้ด โมเนต์ ที่ชีแวร์นี ในปี 1885 เขาก็วาดพอร์เทรตของยอดจิตรกรฝรั่งเศส ในสไตล์อิมเพรสชันนิสม์ Claude Monet Painting at the Edge of a Wood สร้างความประทับใจให้โคล้ดและตัวเขาเองมาก นอกจากภาพนี้จะได้เข้าร่วมแสดงในนิทรรศการอิมเพรสชันนิสม์แล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เขาหันมาสนใจวาดภาพแบบ ออง แปลง แอร์ มากยิ่งขึ้น
เขาได้ชื่อว่าเป็น อันโตนี ฟาน ไดก์ แห่งยุค ได้รับการว่าจ้างเป็นประจำ ปีละราว 14 ชิ้นงาน ผลงานที่น่าจดจำอย่างภาพ Portrait of Robert Louis Stevenson and his Wife (1885) ภายหลังได้รับการประมูลไปในมูลค่าถึง 8.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จอห์นปิดสตูดิโอของเขาอย่างถาวรในวัย 51 โดยลงมือวาดภาพพอร์เทรตภาพสุดท้าย เป็นภาพที่ซีเรียสจริงจังมาก นั่นคือ ภาพเซลฟ์พอร์เทรตตัวเขาเอง ที่กลายเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นของพิพิธภัณฑ์ศิลปะในกรุงฟลอเรนซ์


