ผักDone เปลี่ยนขยะให้มีค่า สร้างวงจรอาหารปลอดภัย
ปัญหาขยะเป็นความรับผิดชอบของทุกคน โดยแต่ละครัวเรือนสามารถลดปริมาณและจัดการขยะได้
โดย กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน
ปัญหาขยะเป็นความรับผิดชอบของทุกคน โดยแต่ละครัวเรือนสามารถลดปริมาณและจัดการขยะได้ ผ่านการสร้างระบบจัดการ “ขยะอินทรีย์” ด้วยวิธีเปลี่ยนขยะที่ย่อยสลายได้ง่าย เช่น เศษอาหาร ผัก ผลไม้ ให้กลายเป็นปุ๋ย เพื่อนำไปสร้างปัจจัยการเพาะปลูก ผลิตอาหารที่ปลอดภัย ในขณะเดียวกันยังแก้ปัญหาขยะล้นเมือง และสร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับสังคม
กิจการเพื่อสังคม “ผักDone” (ผักดัน) เป็นหนึ่งพลังที่ขับเคลื่อนเรื่องปัญหาขยะ มีเป้าหมายเพื่อสร้างทัศนคติใหม่ต่อการคัดแยกและจัดการขยะอินทรีย์ให้เป็นเรื่องที่มีคุณค่า เป็นเรื่องง่าย และเป็นเรื่องที่ควรทำ อีกทั้งยังเป็นการคืนทรัพยากรในรูปแบบของปุ๋ยและดินคุณภาพกลับคืนสู่กระบวนการสร้างอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน
ผักดันก่อตั้งโดยคนเมือง 3 คนที่สนใจเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และตระหนักถึงปัญหาขยะ ได้แก่ มานิตา วิวัฒน์เศรษฐชัย หญิงสาวผู้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาสร้างพื้นที่ปลูกอาหารให้กับตัวเองและครอบครัว เธอจึงพบปัญหาสภาพดินไม่เหมาะสม นำไปสู่ไอเดียทำปุ๋ยและดินด้วยการหมักขยะอินทรีย์ และต่อยอดไปสู่การแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง อรสรวง บุตรนาค นักเขียนอิสระที่สนใจเรื่องการจัดการขยะ และ ธนกร เจียรกมลชื่น อดีตผู้ประสานงานตลาดสีเขียว เคยคลุกคลีกับปัญหาขยะอินทรีย์ที่ถูกทิ้งอย่างไร้ประโยชน์จึงอยากลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลง
“เราเริ่มด้วยการไปขอพวกเปลือกผลไม้และเศษผักในตลาดและร้านอาหารย่านรังสิตคลอง 4 มาหมักทำเป็นปุ๋ย โดยได้มาวันละอย่างน้อย 30 กิโลกรัม” มานิตาได้สร้างพื้นที่ปลูกอาหารในชุมชนตำบลคลองสี่ จ.ปทุมธานี โดยหลังจากเกิดไอเดียหมักปุ๋ยด้วยขยะอินทรีย์ เธอได้นำเสนอโครงการขยะทองคำเข้าร่วมโครงการสวนผักคนเมือง จนเข้ารอบรับรางวัลสนับสนุน ทำให้ได้ลงมือจัดการขยะอินทรีย์ในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมและมีแบบแผนมากขึ้น
“ระหว่างทางที่เราไปรับขยะทำให้เราเจอเรื่องราวว่าแต่ละวันมีขยะจำนวนมหาศาล ซึ่งขยะบางประเภทสามารถนำมาทำเป็นดินได้ แต่ทำไมเราต้องนำไปทิ้งอีกที่หนึ่งซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และสร้างปัญหา” ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า องค์ประกอบของขยะมูลฝอยชุมชนในไทยมีปริมาณเศษอาหารและสารอินทรีย์ร้อยละ 50 ของขยะมูลฝอยทั้งหมด
“แต่หลังจากเรารับขยะมาได้ประมาณ 6 เดือนก็เริ่มมีคำถามขึ้นว่า เรากำลังแก้ปัญหาอะไร เพราะชาวบ้านไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ตระหนักถึงปัญหาขยะที่ตัวเองสร้าง แถมการไปรับขยะยังเป็นการอำนวยความสะดวกในการทิ้งขยะให้พวกเขา เราจึงต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ คือจะทำอย่างไรให้แต่ละบ้านสามารถจัดการขยะได้ด้วยตัวเอง” มานิตา กล่าว
ทั้งสามคนเห็นปัญหาเดียวกันว่า เราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสร้างขยะ และการจัดการขยะของประเทศไทยก็ไม่ได้มีการคัดแยกประเภท ทำให้ขยะทั้งหมดถูกเก็บรวมกัน และบรรทุกไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบที่บ่อขยะนอกเมือง ก่อให้เกิดต้นทุนการจัดการขยะปริมาณมากโดยไม่จำเป็น เนื่องจากขยะบางส่วนบางประเภทสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งยังมีต้นทุนด้านการขนย้าย และค่าใช้จ่ายเรื่องพื้นที่ในการกำจัดขยะที่ไม่เพียงพอต่อปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ผักดันจึงต้องการส่งเสริมการคัดแยกขยะอินทรีย์เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ โดยใช้อุปกรณ์ที่ง่ายต่อการจัดการอย่าง กล่องผักดัน หรือกล่องหมักปุ๋ย (สำหรับครัวเรือน) ออกแบบโดย ชูเกียรติ โกแมน ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการสวนผักคนเมือง ซึ่งทางกลุ่มได้จัดจำหน่ายผ่านเพจเฟซบุ๊ก ผักDone ราคากล่องละ 550 บาท ประกอบด้วย ภาชนะหมัก อินทรียวัตถุ น้ำตาล น้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์ และปุ๋ยคอกหรือคอมโพสต์สตาร์ทเตอร์ (Compost Starter)
“อุปกรณ์นี้แก้ไขปัญหาได้ 2 ด้าน คือ ลดปริมาณขยะอินทรีย์ และเพิ่มปัจจัยการผลิตให้กับคนเมือง” อรสรวง กล่าวเสริม “จากเดิมที่เราเก็บขยะมาทำปุ๋ย ตอนนี้เรามีอุปกรณ์ให้ทุกคนสามารถทำปุ๋ยใช้เอง การใช้เครื่องมือนี้ทำให้คนแยกขยะโดยอัตโนมัติ ซึ่งการแยกขยะเปียกอย่างเศษอาหารเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่แยกขยะชนิดอื่น
หากครัวเรือนไหนผลิตปุ๋ยจากขยะอินทรีย์ได้มากเกินความต้องการก็สามารถส่งกลับมาขายให้เราได้ เราจะเป็นผู้รับซื้อและเป็นผู้จำหน่ายต่อไป เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนจัดการขยะอินทรีย์ในบ้าน และเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์ต่อการปลูกพืช ซึ่งจะเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัยให้ตัวเองและครอบครัว”
นอกจากนี้ ทางกลุ่มยังส่งกิจการเพื่อสังคมผักดันเข้าร่วมโครงการพลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมของบริษัท บ้านปู และได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ทีมกิจการดีเด่น ได้รับทุนสนับสนุน 1.25 ล้านบาท เพื่อนำไปสานต่อความคิดให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ จึงทำให้การส่งเสริมกล่องหมักปุ๋ยเข้าไปสู่ครัวเรือนเป็นรูปธรรมมากขึ้น
มานิตา กล่าวด้วยว่า ทุกครัวเรือนสร้างขยะ แต่ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะปลูกต้นไม้ ดังนั้นหากครัวเรือนไหนไม่มีความต้องการใช้ปุ๋ยหมักก็สามารถนำมาขายให้กลุ่มผักดัน เพื่อนำปุ๋ยนั้นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำเป็นเซตดินพร้อมต้นกล้าให้นำไปปลูกได้ทันที ซึ่งราคามากกว่าการขายดินเป็นกิโลกรัม
“ตอนนี้รายได้มาจากการขายกล่องหมักปุ๋ยเป็นหลัก ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมาเราขายกล่องได้ประมาณ 150 ชุด ซึ่งในแง่ของการอยู่รอด เราไม่สามารถอยู่ได้กับการขายจำนวนเท่านี้ เราจึงอยากขยายฐานลูกค้าจากคนที่อยากจัดการขยะในบ้านอยู่แล้ว ไปสู่การเปลี่ยนคนที่ไม่สนใจการคัดแยกขยะ และเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคำว่าขยะว่าไม่ใช่สิ่งไม่มีค่าอีกต่อไป ซึ่งเหตุผลที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่แยกขยะ จากการสอบถามพบว่า เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะแยกไปทำไม เพราะสุดท้ายขยะก็ถูกนำไปทิ้งรวมกันอยู่ดี รวมถึงยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดชัดเจนว่าการแยกขยะเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ อย่างไร”
ด้านธนกรยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ผักดันทำไม่ใช่แค่การจัดการขยะ แต่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมคน ซึ่งจากการคลุกคลีทำให้เห็นว่าปัญหาขยะเป็นเรื่องใหญ่ที่มีหลายกลุ่ม หลายหน่วยงาน พยายามรณรงค์และแก้ไข แต่ปัญหานี้จะลดลงไม่ได้ถ้าคนไม่เปลี่ยนพฤติกรรม
สำหรับแผนในอนาคตทางกลุ่มผักดันจะพัฒนาตัวสินค้าให้ง่ายต่อการใช้งาน และพัฒนาระบบการจัดการโดยจะเปิดโชว์รูมย่านหัวลำโพง เพื่อจัดแสดงให้เห็นระบบการจัดการขยะ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางให้คนนำขยะมาพัก และกระจายสินค้าออกไปที่จุดเดียว
“เป้าหมายสูงสุดของเรา เราอยากเห็นคนจัดการขยะจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ให้มันกลายเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตปกติเหมือนการซักเสื้อผ้า และอยากให้มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ แบบที่ถ้าเห็นใครทิ้งขยะจะเกิดคำถามกับคนคนนั้นว่าทิ้งทำไม เพราะทุกคนต่างรู้ว่าขยะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้นั่นเอง” มานิตา กล่าวทิ้งท้าย
ผู้ที่สนใจหรือมีคำถามเกี่ยวกับการทำปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์สามารถสอบถามได้ที่กลุ่มผักดัน ทางเพจเฟซบุ๊ก ผักDone (www.facebook.com/OrganicWasteManagementService) และดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ www.pakdone.org


