นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ
ห้องประชุมโรงแรมสุโกศล กรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยผู้ที่ใฝ่ใจในมรดกพุทธศิลป์ ที่นักวิชาการไทยและนานาชาติ
โดย สมาน สุดโต
สัมมนานานาชาติ
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากประเทศไทยและอินเดีย ร่วมมือกันจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่องพุทธปฏิมาวิจักษณ์ จากภารตสู่แดนพุทธภูมิ หรือ Featuring Buddhist Imagery from Bharata to Suvarnabhumi เนื่องในวาระครบรอบ 70 ปี สันถวไมตรีระหว่างสาธารณรัฐอินเดียกับราชอาณาจักรไทย และเนื่องใน 25 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐอินเดียกับกลุ่มประเทศอาเซียนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดมาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2560 และจะสิ้นสุดลงวันที่ 23 มี.ค. 2561
ในการสัมมนานานาชาติ เรื่องพุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตสู่สุวรรณภูมิ International Symposium:Buddhist Art Heritage ณ โรงแรมสุโกศลนั้น กรมศิลปากรเชิญนักวิชาการนานาประเทศมาเสนอผลงานมรดกศิลปวัตถุในพระพุทธศาสนา ที่มีในแต่ละประเทศ นับแต่ประเทศอินเดีย บังกลาเทศ เนปาล เวียดนาม เกาหลีใต้ และไทย เพื่อเผยแพร่และตอกย้ำความสำคัญมรดกพุทธศิลป์ที่มีกระจัดกระจายในภูมิภาคเอเชีย นานนับพันปีก่อนคริสตกาล และเพื่อให้สอดคล้องกับนิทรรศการพุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตสู่สุวรรณภูมิที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่ 70 ปีที่ได้จัดเป็นครั้งแรกด้วย
เมื่อจบการจัดสัมมนาวันที่ 13 มี.ค.แล้ว กรมศิลปากรได้เชิญนักวิชาการและชาวต่างประเทศ ให้เดินทางทัศนศึกษาโบราณสถานของไทย ใน จ.นครปฐม สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ 14-15 มี.ค.
เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ จะมีรายการบรรยายเรื่องการพบหลักฐานโบราณสถานทางพุทธศาสนาในอินเดีย รวมทั้งการค้าและการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของอินเดีย ตามเส้นทางสายไหมทางเรือเดินสมุทร ในวันที่ 16 มี.ค. 2561 ณ หอประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
งานที่นักวิชาการเสนอ
อนึ่ง ในการสัมมนานานาชาติ วันที่ 12-13 มี.ค.นั้น นอกจาก ดร.อมรา ศรีสุชาติ นักโบราณคดีทรงคุณวุฒิ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดี (โบราณคดีและพิพิธภัณฑ์)) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จะเป็นแสดงปาฐกถานำแล้ว นักวิชาการนานาชาติบางท่านได้เสนอผลงานทางโบราณสถานที่ค้นพบใหม่ และรอคอยการบูรณะ เช่น Mr.Sabyasachi Mukherjee, Director General of CSMVS, Mumbai, India เสนอเรื่องพระสถูป Kahu-jo-daro ที่ก่อด้วยอิฐ เป็นศิลปะแบบ Indo-Roman ที่ยังมีร่องรอยให้เห็น ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 30 เอเคอร์ ทางตอนเหนือ เมือง Murpurkhas จังหวัด Sindh ในปากีสถาน
สถูปนี้สันนิษฐานว่าสร้างในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากเครื่องคริสตัล เครื่องเงิน เครื่องทอง ยังพบพระพุทธรูปประมาณ 200 องค์ พระสถูปนี้กำลังรอคอยการบูรณะ
ส่วน Dr.Debdutta Ray เสนอเรื่อง มรดกทางพระพุทธศาสนาที่ Sanghol ในรัฐปัญจาบ ซึ่งมีทั้งสถูปและวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากจันดิการ์เพียง 40 กิโลเมตรเท่านั้น โบราณสถานเหล่านี้มีอายุย้อนหลังไปในศตวรรษที่ 4 ก่อนตริสตกาล
Saubhagya Pradhananga หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เนปาล เสนอเรื่องพุทธสถานในเนปาล โดยเล่าเรื่องภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์เนปาลให้ผู้ฟังทราบก่อนที่จะเดินเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติในเนปาล ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ที่สำคัญในลุมพินี ที่ประสูติ Ramgram สถูปใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะรัฐบาลเนปาล ปกป้องคุ้มครองอย่างดี พร้อมทั้งเปิดเผยการอยู่ร่วมกัน บูชาร่วมกัน ระหว่างชาวพุทธกับฮินดู ณ สถูปสำคัญๆ ในกาฐมาณฑุ และตามชนบทหรือเชิงเขาหลายที่หลายแห่งอีกด้วย
นิทรรศการ
ส่วนนิทรรศการที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่จะสิ้นสุด 23 มี.ค.นั้น ดร.อมรา ศรีสุชาติ บรรยายในหนังสือพุทธปฏิมาวิจักษณ์ จากภารตสู่สุวรรณภูมิ ไว้อย่างเยี่ยมยอด ทำให้เห็นการจัดวางโบราณวัตถุ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย อย่างมืออาชีพ และมีหลักการ โดยเปิดฉากเล่าถึงเหตุผลที่อัญเชิญพระคณปติ หรือพระคเณศ มาเป็นสิริมงคลในการเดินเรื่อง พาผู้ชมเข้างานนิทรรศการ ว่าประชาชนในราชอาณาจักรไทยย่อมให้เกียรติสาธารณรัฐอินเดีย ที่เป็นคู่พันธมิตรในการครั้งนี้ ด้วยการถือตามขนบธรรมเนียมอันดีงามตามแบบอย่างชาวภารตที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งบุพกาล ในการบูชาพระคณปติ หรือพระคเณศ เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง ก่อนการเริ่มดำเนินการกิจการใดๆ
พระคเณศโบราณ
ดังนั้น ประติมากรรมรูปพระคเณศศิลาจึงประดิษฐานตระหง่านตา อยู่ ณ พื้นที่กึ่งกลางด้านหน้า ก่อนเข้าสู่พื้นที่นิทรรศการฯ แม้จะได้รับอิทธิพลต้นแบบการสร้างรูปพระคเณศในศาสนาฮินดูจากอินเดีย ตัวอย่างเช่น พระคเณศหินทรายจากแหล่งเจทิ ในมัธยมประเทศ ประเทศอินเดีย ในพุทธศตวรรษที่ 15ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เดลี พระคเณศศิลาซึ่งทำจากหินภูเขาไฟและนำมาประดิษฐานด้านหน้านิทรรศการองค์นี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้รับการถวายจากรัฐบาลฮอลันดาที่ปกครองประเทศอินโดนีเซียอยู่ในเวลานั้นและประทานให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ตามประวัติกล่าวว่า พระคเณศองค์นี้ได้มาจากเกาะชวา ซึ่งมีโบราณสถานสำคัญทั้งพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูอยู่เคียงคู่กันไป ฝ่ายพระพุทธศาสนา เช่น จันดี โบโรบูดูร์ เมืองมาเกอลัง ชวาภาคกลาง ฝ่ายศาสนาฮินดู เช่น จันดี ปรัมบานัน ตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน
สิงห์เสริมพุทธบารมี
และเพื่อให้ประจักษ์แจ้งว่า นิทรรศการครั้งนี้เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับพุทธศิลปกรรม ดังนั้นประติมากรรมรูปสิงห์คู่จากพุทธสถานโบโรบูดูร์ จึงต้อนรับผู้เข้าชมนิทรรศการ ณ ซุ้มประตูสู่พื้นที่นิทรรศการฯ โดยตรง ประติมากรรมพระคเณศ คือตัวแทนแห่ง
ภารตประเทศ ซึ่งเป็นคู่ไมตรีในการรำลึกความสัมพันธ์
ขณะที่สิงห์คู่จากโบราณสถานโบโรบูดูร์ จากเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ประหนึ่งตัวแทนของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนที่รับวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาจากอินเดียและเจริญรุ่งเรืองสูงสุดและสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมที่โดดเด่น เก่าแก่แห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้
สิงห์ยังสื่อความหมายเกี่ยวพันกับพระนามของพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ขนานพระนามพระองค์ว่า “พระศากยสิงห์” มีความหมายว่า พระพุทธเจ้าผู้มาจากสายราชสกุลศากยวงศ์ และมีสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์คือ สิงห์
ยิ่งกว่านั้น พระพุทธลักษณะหรือคุณสมบัติหลายประการของพระพุทธองค์ยังได้รับการเปรียบเทียบกับสิงห์ หรือราชสีห์ เช่น มหาปุริสลักขณะ 32 ประการ (มหาปุริสลักขณะถ่ายทอดการสะกดตามคำในภาษาบาลี คำภาษาสันสกฤต หรือมหาปุรุษลักษณะ คำภาษาไทยเขียน มหาบุรุษลักษณะ ของพระพุทธเจ้านั้น ลักษณะบางประการนำมาเปรียบเทียบกับสิงห์/ราชสีห์ เช่น ทรงมีพระอุระกว้างดุจอกสิงห์ พระหนุ (คาง) เสมือนคางสิงห์ ส่วนอนุพยัญชนะ หรือคุณลักษณะประกอบเพิ่มเติมอีก 80 ประการของพระพุทธองค์นั้น ก็มีการเปรียบเทียบกับสิงห์หรือราชสีห์รวมอยู่ด้วย เช่น ทรงเยื้องย่างไปประดุจราชสีห์
และในพระไตรปิฎกกล่าวถึง การประกาศพระธรรมหรือการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า“ทรงบันลือสีหนาท” หมายถึงทรงเปล่งเสียงประกาศก้องประดุจการคำรามของราชสีห์ที่ดังแผ่ออกไปกว้างไกลเป็นที่น่าคร้ามเกรงและหมู่สัตว์น้อยใหญ่ย่อมสดับและสยบอยู่ใต้แห่งอำนาจของเสียงนี้เมื่อเปิดฉากด้วยความเป็นสิริมงคลแล้วก็เข้าสู่งานนิทรรศการได้อย่างมีความสุขต่อไป
วันที่ 23 มี.ค. 2561 นิทรรศการพิเศษเนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีที่ยิ่งใหญ่ จะสิ้นสุด จึงขอบอกกล่าว เผื่อว่าท่านที่ยังไม่ได้ไปชม จะได้หาโอกาสไปชมก่อนที่จะบอกว่าเสียดายจัง เพราะไม่ทราบว่าเมื่อไรกรมศิลปากรจะมีโอกาสจัดนิทรรศการยิ่งใหญ่เช่นนี้อีก


