posttoday

นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ

18 มีนาคม 2561

ห้องประชุมโรงแรมสุโกศล กรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยผู้ที่ใฝ่ใจในมรดกพุทธศิลป์ ที่นักวิชาการไทยและนานาชาติ

โดย สมาน สุดโต

นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ

ห้องประชุมโรงแรมสุโกศล กรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยผู้ที่ใฝ่ใจในมรดกพุทธศิลป์ ที่นักวิชาการไทยและนานาชาติ หยิบยกขึ้นมาเสนอในการประชุมสัมมนานานาชาติ เรื่องพุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตสู่สุวรรณภูมิ International Symposium:Buddhist Art Heritage จัดโดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 12-13 มี.ค.  2561 เพื่อบันลือให้ชาวโลกรู้ความยิ่งใหญ่พุทธศิลป์ที่มีมานับพันปี

สัมมนานานาชาติ

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากประเทศไทยและอินเดีย ร่วมมือกันจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่องพุทธปฏิมาวิจักษณ์ จากภารตสู่แดนพุทธภูมิ หรือ Featuring Buddhist Imagery from Bharata to Suvarnabhumi เนื่องในวาระครบรอบ 70 ปี สันถวไมตรีระหว่างสาธารณรัฐอินเดียกับราชอาณาจักรไทย และเนื่องใน 25 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐอินเดียกับกลุ่มประเทศอาเซียนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้  ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดมาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2560 และจะสิ้นสุดลงวันที่ 23 มี.ค. 2561 

ในการสัมมนานานาชาติ เรื่องพุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตสู่สุวรรณภูมิ International Symposium:Buddhist Art Heritage ณ โรงแรมสุโกศลนั้น กรมศิลปากรเชิญนักวิชาการนานาประเทศมาเสนอผลงานมรดกศิลปวัตถุในพระพุทธศาสนา ที่มีในแต่ละประเทศ นับแต่ประเทศอินเดีย บังกลาเทศ  เนปาล เวียดนาม เกาหลีใต้ และไทย เพื่อเผยแพร่และตอกย้ำความสำคัญมรดกพุทธศิลป์ที่มีกระจัดกระจายในภูมิภาคเอเชีย นานนับพันปีก่อนคริสตกาล และเพื่อให้สอดคล้องกับนิทรรศการพุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตสู่สุวรรณภูมิที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่ 70 ปีที่ได้จัดเป็นครั้งแรกด้วย

นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ

เมื่อจบการจัดสัมมนาวันที่ 13 มี.ค.แล้ว กรมศิลปากรได้เชิญนักวิชาการและชาวต่างประเทศ ให้เดินทางทัศนศึกษาโบราณสถานของไทย ใน จ.นครปฐม สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ 14-15 มี.ค.

เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ จะมีรายการบรรยายเรื่องการพบหลักฐานโบราณสถานทางพุทธศาสนาในอินเดีย รวมทั้งการค้าและการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของอินเดีย ตามเส้นทางสายไหมทางเรือเดินสมุทร ในวันที่ 16 มี.ค. 2561 ณ หอประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

งานที่นักวิชาการเสนอ 

อนึ่ง ในการสัมมนานานาชาติ วันที่ 12-13 มี.ค.นั้น นอกจาก ดร.อมรา ศรีสุชาติ นักโบราณคดีทรงคุณวุฒิ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดี (โบราณคดีและพิพิธภัณฑ์)) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จะเป็นแสดงปาฐกถานำแล้ว นักวิชาการนานาชาติบางท่านได้เสนอผลงานทางโบราณสถานที่ค้นพบใหม่ และรอคอยการบูรณะ เช่น Mr.Sabyasachi Mukherjee, Director General of CSMVS, Mumbai, India เสนอเรื่องพระสถูป Kahu-jo-daro ที่ก่อด้วยอิฐ เป็นศิลปะแบบ Indo-Roman ที่ยังมีร่องรอยให้เห็น ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลประมาณ 30 เอเคอร์ ทางตอนเหนือ เมือง Murpurkhas จังหวัด Sindh ในปากีสถาน

สถูปนี้สันนิษฐานว่าสร้างในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  นอกจากเครื่องคริสตัล เครื่องเงิน เครื่องทอง ยังพบพระพุทธรูปประมาณ 200 องค์ พระสถูปนี้กำลังรอคอยการบูรณะ

ส่วน Dr.Debdutta Ray เสนอเรื่อง มรดกทางพระพุทธศาสนาที่ Sanghol ในรัฐปัญจาบ ซึ่งมีทั้งสถูปและวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากจันดิการ์เพียง 40 กิโลเมตรเท่านั้น โบราณสถานเหล่านี้มีอายุย้อนหลังไปในศตวรรษที่ 4 ก่อนตริสตกาล

Saubhagya Pradhananga หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เนปาล เสนอเรื่องพุทธสถานในเนปาล โดยเล่าเรื่องภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์เนปาลให้ผู้ฟังทราบก่อนที่จะเดินเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติในเนปาล ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ที่สำคัญในลุมพินี ที่ประสูติ Ramgram สถูปใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะรัฐบาลเนปาล ปกป้องคุ้มครองอย่างดี พร้อมทั้งเปิดเผยการอยู่ร่วมกัน บูชาร่วมกัน ระหว่างชาวพุทธกับฮินดู ณ สถูปสำคัญๆ ในกาฐมาณฑุ และตามชนบทหรือเชิงเขาหลายที่หลายแห่งอีกด้วย

นิทรรศการ

นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ

ส่วนนิทรรศการที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่จะสิ้นสุด 23 มี.ค.นั้น ดร.อมรา ศรีสุชาติ บรรยายในหนังสือพุทธปฏิมาวิจักษณ์ จากภารตสู่สุวรรณภูมิ ไว้อย่างเยี่ยมยอด ทำให้เห็นการจัดวางโบราณวัตถุ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย อย่างมืออาชีพ และมีหลักการ โดยเปิดฉากเล่าถึงเหตุผลที่อัญเชิญพระคณปติ หรือพระคเณศ มาเป็นสิริมงคลในการเดินเรื่อง พาผู้ชมเข้างานนิทรรศการ ว่าประชาชนในราชอาณาจักรไทยย่อมให้เกียรติสาธารณรัฐอินเดีย ที่เป็นคู่พันธมิตรในการครั้งนี้ ด้วยการถือตามขนบธรรมเนียมอันดีงามตามแบบอย่างชาวภารตที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งบุพกาล ในการบูชาพระคณปติ หรือพระคเณศ เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง ก่อนการเริ่มดำเนินการกิจการใดๆ

พระคเณศโบราณ

ดังนั้น ประติมากรรมรูปพระคเณศศิลาจึงประดิษฐานตระหง่านตา อยู่ ณ พื้นที่กึ่งกลางด้านหน้า ก่อนเข้าสู่พื้นที่นิทรรศการฯ แม้จะได้รับอิทธิพลต้นแบบการสร้างรูปพระคเณศในศาสนาฮินดูจากอินเดีย ตัวอย่างเช่น พระคเณศหินทรายจากแหล่งเจทิ ในมัธยมประเทศ ประเทศอินเดีย ในพุทธศตวรรษที่ 15ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เดลี พระคเณศศิลาซึ่งทำจากหินภูเขาไฟและนำมาประดิษฐานด้านหน้านิทรรศการองค์นี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้รับการถวายจากรัฐบาลฮอลันดาที่ปกครองประเทศอินโดนีเซียอยู่ในเวลานั้นและประทานให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ตามประวัติกล่าวว่า พระคเณศองค์นี้ได้มาจากเกาะชวา ซึ่งมีโบราณสถานสำคัญทั้งพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูอยู่เคียงคู่กันไป ฝ่ายพระพุทธศาสนา เช่น จันดี โบโรบูดูร์ เมืองมาเกอลัง ชวาภาคกลาง ฝ่ายศาสนาฮินดู เช่น จันดี ปรัมบานัน ตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน

สิงห์เสริมพุทธบารมี

นักวิชาการโบราณคดีบันลือมรดก พุทธศิลป์นานาชาติ

และเพื่อให้ประจักษ์แจ้งว่า นิทรรศการครั้งนี้เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับพุทธศิลปกรรม ดังนั้นประติมากรรมรูปสิงห์คู่จากพุทธสถานโบโรบูดูร์ จึงต้อนรับผู้เข้าชมนิทรรศการ ณ ซุ้มประตูสู่พื้นที่นิทรรศการฯ โดยตรง ประติมากรรมพระคเณศ คือตัวแทนแห่ง
ภารตประเทศ ซึ่งเป็นคู่ไมตรีในการรำลึกความสัมพันธ์

ขณะที่สิงห์คู่จากโบราณสถานโบโรบูดูร์ จากเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ประหนึ่งตัวแทนของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนที่รับวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาจากอินเดียและเจริญรุ่งเรืองสูงสุดและสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมที่โดดเด่น เก่าแก่แห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

สิงห์ยังสื่อความหมายเกี่ยวพันกับพระนามของพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ขนานพระนามพระองค์ว่า “พระศากยสิงห์” มีความหมายว่า พระพุทธเจ้าผู้มาจากสายราชสกุลศากยวงศ์ และมีสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์คือ สิงห์

ยิ่งกว่านั้น พระพุทธลักษณะหรือคุณสมบัติหลายประการของพระพุทธองค์ยังได้รับการเปรียบเทียบกับสิงห์ หรือราชสีห์ เช่น มหาปุริสลักขณะ 32 ประการ (มหาปุริสลักขณะถ่ายทอดการสะกดตามคำในภาษาบาลี คำภาษาสันสกฤต หรือมหาปุรุษลักษณะ คำภาษาไทยเขียน มหาบุรุษลักษณะ ของพระพุทธเจ้านั้น ลักษณะบางประการนำมาเปรียบเทียบกับสิงห์/ราชสีห์ เช่น ทรงมีพระอุระกว้างดุจอกสิงห์ พระหนุ (คาง) เสมือนคางสิงห์ ส่วนอนุพยัญชนะ หรือคุณลักษณะประกอบเพิ่มเติมอีก 80 ประการของพระพุทธองค์นั้น ก็มีการเปรียบเทียบกับสิงห์หรือราชสีห์รวมอยู่ด้วย เช่น ทรงเยื้องย่างไปประดุจราชสีห์

และในพระไตรปิฎกกล่าวถึง การประกาศพระธรรมหรือการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า“ทรงบันลือสีหนาท” หมายถึงทรงเปล่งเสียงประกาศก้องประดุจการคำรามของราชสีห์ที่ดังแผ่ออกไปกว้างไกลเป็นที่น่าคร้ามเกรงและหมู่สัตว์น้อยใหญ่ย่อมสดับและสยบอยู่ใต้แห่งอำนาจของเสียงนี้เมื่อเปิดฉากด้วยความเป็นสิริมงคลแล้วก็เข้าสู่งานนิทรรศการได้อย่างมีความสุขต่อไป

วันที่ 23 มี.ค. 2561 นิทรรศการพิเศษเนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีที่ยิ่งใหญ่ จะสิ้นสุด จึงขอบอกกล่าว เผื่อว่าท่านที่ยังไม่ได้ไปชม จะได้หาโอกาสไปชมก่อนที่จะบอกว่าเสียดายจัง เพราะไม่ทราบว่าเมื่อไรกรมศิลปากรจะมีโอกาสจัดนิทรรศการยิ่งใหญ่เช่นนี้อีก

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย