posttoday

จรูญ บุญสวน เขียนภาพมอบความสุข

11 มีนาคม 2561

นิทรรศการ “Lamphun Bloom” 80 ปี ชีวิตและงาน จรูญ บุญสวน แสดงที่ Temple House Lamphun

โดย เจียรนัย อุตะมะ

นิทรรศการ “Lamphun Bloom” 80 ปี ชีวิตและงาน จรูญ บุญสวน แสดงที่ Temple House Lamphun บริเวณใกล้พระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน ตั้งแต่วันนี้-31 มี.ค. 2561

อาจารย์จรูญ บุญสวน ศิลปินอาวุโสวัย 80 ปี ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ จ.ลำพูน บ้านเกิดของภรรยา เล่าถึงความประทับใจในการเขียนภาพว่า คือการมอบความสุขด้วยการสร้างผลงานทางศิลปะที่สามารถสื่อสารเข้าไปในใจของผู้ที่ได้ชม เยียวยาลึกถึงระดับจิต เพียงแค่ได้เห็นก็รู้ถึงอารมณ์แห่งความสุขที่ส่งตรงออกมาจากภาพได้ นั่นคือความสำเร็จในการมอบ “สุข” อย่างแท้จริง

“ผมน่าจะเป็นคนที่ชอบวาดรูปมาตั้งแต่อายุประมาณ 3-4 ขวบ ได้โดยชอบวาดรูปบนผืนทราย”

ตระกูล บุญสวน มีเชื้อสายของศิลปิน เนื่องจากปู่ของปู่อาจารย์จรูญเป็นช่างทำโบสถ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ อ.บางระจัน ฉะนั้นสายเลือดศิลปินนี้คงจะมีติดมา ทำให้พี่น้องและอาจารย์รวมที่เป็นลูกคนโตชอบวาดรูปกันทุกคน แม้แต่คุณพ่อของอาจารย์ที่ไม่เคยเรียนศิลปะมาก่อนก็สามารถแกะสลักโบสถ์ทั้งหลังได้

เมื่อคุณพ่อทราบว่าวัดร้างหลังบ้านกำลังจะบูรณะซ่อมแซม มีการวางแผนจะสร้างโบสถ์ใหม่ถวายวัด พ่อของอาจารย์ที่มีอายุได้ 68 ปี ก็ปวารณาตัวจะแกะสลักประตูโบสถ์ อาจารย์ถึงกับต้องคอยถามพ่อบ่อยครั้งว่าทำได้แน่หรือ เพราะพ่อของท่านไม่เคยแกะสลักมาก่อน แต่พ่อก็มั่นใจว่าทำได้แน่นอน จึงขึ้นรถมาหาอาจารย์ที่เชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นอาจารย์สอนอยู่ที่เทคโนโลยีห้วยแก้ว

เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของพ่อ จึงพาพ่อไปตระเวนดูงานศิลปะตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดที่มีประตูหน้าต่างเป็นไม้แกะสลัก พาไปตามบ้านช่างแกะสลักไม้ที่มีฝีมือ ให้ดูไปเรื่อยๆ จนเกิดความเข้าใจในวิธีการทั้งหมด หลังจากกลับบ้านที่สิงห์บุรีพ่อของอาจารย์ก็สามารถแกะสลักโบสถ์ได้เสร็จทั้งหลังจนเป็นที่อัศจรรย์ใจว่าพ่อที่ไม่เคยเรียนแกะสลักใดๆ สามารถทำได้แม้จะเพียงแค่ได้ดูเท่านั้น ซึ่งลักษณะนี้อาจารย์จึงเชื่อว่าอาจจะเกิดจากสายเลือดเป็นแน่

อาจารย์จรูญได้รับอิทธิพลมาจากครูสังวาล กลิ่นแก้ว ที่สอนวิชาไวยากรณ์ไทยที่โรงเรียนมัธยม เวลานั้นอาจารย์เห็นครูสังวาลนั่งวาดรูปผู้หญิงและใช้วิธีการตีสเกลในการวาด “การตีสเกลทำให้เราวาดรูปอะไรก็ได้ เขียนรูปอะไรก็ได้ ครูสังวาลอธิบาย อาจารย์ไปนั่งเฝ้า ไปทั้งวันเพราะชอบวาดรูปอยู่แล้ว อาจารย์จึงไปตีสเกล จากนั้นก็เขียนรูปได้ เมื่อเขียนรูปได้ ผมเขียนเรื่อยมา”

นอกจากอิทธิพลของครูสังวาลแล้ว อาจารย์จรูญยังรำลึกถึงความชอบในงานศิลปะของตัวเอง ที่มีมากจนถึงขนาดที่ความง่วงไม่สามารถเข้าครอบงำได้ เพราะหลังจากที่เริ่มเขียนภาพได้ช่วงบ่ายๆ เวลาเรียนหนังสือในห้องเรียน นักเรียนจะง่วงนอนกันมาก แต่เมื่อได้หยิบรูปที่ตัวเองวาดไว้ขึ้นมาดู เป็นรูปคาวบอย รูปเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จะหายง่วงไปในทันที

จรูญ บุญสวน เขียนภาพมอบความสุข

ความที่สนใจในภาพเขียนภาพวาด ทำให้ได้บังเอิญไปเห็นฉากลิเกที่คณะลิเกนำมาติดเป็นฉากหลัง อาจารย์มองอย่างสนใจจนกลายเป็นว่าชอบที่จะไปดูลิเกไปโดยปริยาย สมัยก่อนนั้นอาจารย์ว่าไม่ค่อยจะมีอะไรที่เป็นความบันเทิงมากนัก มีลิเกเพียงอย่างเดียวที่มักจะมาแสดงบ่อยๆ นานๆ ครั้งอาจจะมีหนังขายยามา แต่ลิเกนั้นมีจัดแสดงมากกว่า ทว่าที่ไปดูจริงกลับไม่ใช่การแสดงลิเก แต่เป็นฉากลิเกที่มีลวดลายต่างๆ

อาจารย์จรูญเข้าศึกษาต่อโรงเรียนศิลปะศึกษา และมหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะคิดว่าหากเรียนจนจบปี 3 จะกลับบ้านมาเขียนฉากลิเก

อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ก่อตั้งโรงเรียนศิลปะศึกษาเพื่อเตรียมนักเรียนให้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อเรียนครบ 3 ปี ก็สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ ซึ่งสมัยนั้นนักเรียนที่เรียนปี 3 มีเกือบ 20 คน แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แค่ 2 คนเท่านั้น คืออาจารย์กับเพื่อนอีกคน อาจารย์ได้พบกับอาจารย์ศิลป์ เมื่อเป็นนักเรียนที่โรงเรียนศิลปะศึกษา เพราะเวลามหาวิทยาลัยศิลปากรทำพิธีครอบครูก็จะพานักเรียนจากโรงเรียนศิลปะศึกษาไปนั่งดูด้วย ได้เห็นอาจารย์ศิลป์ หรือ “อาจารย์ฝรั่ง” เป็นครั้งแรก

การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยศิลปากรขณะนั้น วิชาสามัญมีน้อยมาก จะเน้นปฏิบัติกันทุกวันและค่อนข้างหนักนักศึกษาที่เรียนจบ 3 ปีแรกสามารถได้รับอนุปริญญานำไปประกอบอาชีพได้

ระยะที่ 2 คือปีที่ 4-5 และนักศึกษาที่จะสามารถผ่านเข้าไปเรียนต่อปี 4-5 จะต้องผ่านการคัดเลือกจากอาจารย์ศิลป์เท่านั้น ดังนั้นนักศึกษาปี 4 จึงมีน้อยมาก รุ่นของอาจารย์ในขณะนั้นมีนักศึกษา 15 คน แต่ผ่านขึ้นไปเรียนปี 4 ได้มีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น คือ อาจารย์จรูญ บุญสวน อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี อาจารย์ไพโรจน์ สโมสร และอาจารย์ชาญณรงค์ หลีกฐานนท์ (ศิลปินช่างปั้น)

อาจารย์ศิลป์มุ่งหวังให้นักเรียนนักศึกษาที่เรียนศิลปะประกอบอาชีพทางศิลปะได้ และหวังว่าจะคัดคนที่มีพรสวรรค์ให้เป็นศิลปิน ซึ่งก็คือนักศึกษาที่ขึ้นปี 4 ส่วนคนที่จบปี 5 มีน้อยมาก บางคนเรียนปี 4 พอปี 5 ออกหมด

อาจารย์จรูญเองโชคดีที่อาจารย์ฝรั่งเมตตา ช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 มีบางวิชาที่อาจารย์ทำได้ไม่ดี แต่อาจารย์ฝรั่งมองเห็นถึงวิสัยในการเขียนภาพของศิษย์ วันหนึ่งอาจารย์ฝรั่งแจ้งว่าอาจารย์จรูญไม่ต้องเขียนภาพ Nude, Figure, Portrait แล้ว แต่ให้เขียน Landscape และเขียน Still Light แทน อาจารย์จรูญใช้ 2 วิชานี้มาเป็นวิชาชีพ และเขียนรูปมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่ออาจารย์เรียนจบได้ย้ายไปอยู่โคราชรับราชการเป็นครู และมีครอบครัวเริ่มทำ ส.ค.ส.ขาย จนเป็นที่ฮือฮาในหมู่ชาวศิลปากรที่ส่วนใหญ่คิดว่าการทำเช่นนั้นไม่สมเกียรติศิลปิน ขายอยู่หลายปีจนเกิดสงครามเวียดนามได้เลิกไป และส่งภาพไปขายแกลเลอรี่แทน

อาจารย์ส่งงานเข้าประกวดทุกปี ใช้เวลาถึง 21 ปี จนกระทั่งปี 2525 ได้รับรางวัลแรกคือ รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม ต่อมามีการจัดแสดงงานศิลปกรรมร่วมสมัยที่สนับสนุนโดยธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยเพิ่มขึ้นมาอีก 2 งาน ปี 2527 ท่านได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดงประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 30 ปี 2528 ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดงประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 31 และได้รางวัลที่ 2 เหรียญเงินบัวหลวง ประเภทไทยร่วมสมัย โดยการสนับสนุนของธนาคารกสิกรไทยประจำปี 2528 ภายหลังอาจารย์คิดว่าได้รางวัลมากเกินไปจึงเลิกส่งผลงานประกวด

ปัจจุบันราคาภาพเขียนของอาจารย์จรูญเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ทั้งนี้ล้วนมาจากชื่อเสียงและบารมีผ่านกาลเวลา และตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่คิดจะหยุดเขียน

ปี 2536 ท่านตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อทุ่มเทเวลาในการเขียนภาพ ซึ่งท่านเขียนภาพทุกวันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ข่าวล่าสุด

ทรู คอร์ปอเรชั่น ดูแล 'พลังใจ' ประชาชนศูนย์พักพิงฯ ชายแดนไทย–กัมพูชา นอกเหนือจากสัญญาณ