posttoday

เมื่อปัญญาประดิษฐ์ คิดจะครองโลกได้ไหม?

10 มีนาคม 2561

หากย้อนกลับไปอ่านประวัติของ นิโคลาส เทสลาร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของโลก เขาเคยพูดไว้ว่า

 โดย  เอกศาสตร์ สรรพช่าง ภาพ : รอยเตอร์ส

 หากย้อนกลับไปอ่านประวัติของ นิโคลาส เทสลาร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของโลก เขาเคยพูดไว้ว่า

 “ในศตวรรษที่ 21 หุ่นยนต์จะทำหน้าที่เหมือนทาสของมนุษย์ เหมือนที่เราใช้มนุษย์เป็นทาสในสมัยก่อน”

 คำพูดนี้ดูเป็นเรื่องที่ถือสาหาความอะไรไม่ได้ในสมัยของเขา แต่น่าตื่นเต้นเมื่อคิดว่าโลกอย่างที่เทสลาร์จินตนาการถึงกำลังใกล้เข้ามาทุกทีและใกล้มากๆ ด้วย หากคิดว่าตอนนี้มันอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเราแล้ว

 เด็กที่เกิดในยุคนี้จะเป็นเด็กรุ่นแรกที่ได้รับประสบการณ์ของการใช้ชีวิตร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (ต่อไปนี้จะขอเรียกรวมๆ ว่า AI แล้วกันนะครับ) เหมือนๆ กับคนในรุ่นผมที่โตมาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีการสื่อสาร AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเขาก็จะตั้งไข่ไปพร้อมกับเด็กๆ ที่โตในยุคนี้เช่นกัน

 ประเด็นเรื่องของ AI มีให้พูดถึงไม่เว้นแต่ละวัน ข้อมูลจาก Google Trend คำว่า “AI” ถูกค้นหาเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ในรอบปีที่ผ่านมา มันเป็นกระแสโลกที่ฉุดไม่อยู่จริงๆ เรียกว่าเดี่ยวนี้เครื่องใช้ไม่สอยอะไรที่ไม่มีคำว่า “AI” โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนนี่ ดูเชยมาก จะพูดว่าไม่มีที่ยืนก็ได้

 AI ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนเฉพาะการสื่อสาร การเก็บข้อมูลหรือกระบวนการผลิตในโรงงานเท่านั้น มันแทบจะเปลี่ยนวิธีการซักผ้า การส่งสินค้า รวมไปถึงรูปแบบการไปทำงานของเราในอนาคตได้เลยทีเดียว

 ความที่มันเป็นกระแสแรงเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งก็เริ่มพูดถึง “ภัยคุกคาม” ที่อาจเกิดขึ้นจาก AI โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว (2017) ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้เผยแพร่คลิปสัมภาษณ์ของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ AI ทำเลียนแบบขึ้นมาชนิดที่ว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่คือของปลอม หากไม่มีใครบอก

 AI เรียนรู้การ “ขยับปาก” และท่าทางของประธานาธิบดีโอบามาผ่านทางรูปถ่ายและวิดีโอ รวมถึงโทนเสียงของประธานาธิบดีในการออกเสียงแต่ละคำ จากนั้นก็ประมวลผลออกมาและออกแบบท่าทาง โดย Prof.Ira Kemelmacher-Shilzerman แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้พัฒนา AI ตัวนี้บอกว่า เป็นความตั้งใจของทีมที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า ทุกๆ เทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมานั้นมีสองด้านเสมอ มันสามารถถูกนำไปใช้ในแง่ที่ไม่ดีได้ด้วยเช่นกัน

 สิ่งที่พวกเราเหล่ามนุษย์ต้องตระหนักไว้ก็คือ เมื่อเราสร้างมันขึ้นมาแล้ว ก็ต้องหาทางที่จะจำกัดหรือ Recerse เทคโนโลยีนั้นให้ได้ด้วย หาทางป้องกันในกรณีที่มันเกิดเหตุไม่คาดฝัน

เมื่อปัญญาประดิษฐ์ คิดจะครองโลกได้ไหม?

 การทำวิดีโอนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ทุกคนเห็นรูรั่ว หาทางจับผิด เพราะ AI นั้นพูดตามตรงก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์เข้าไปทุกวัน ล่าสุดผมเห็นข่าวว่าอาชีพอย่างทนายก็อาจได้รับผลพวงไปด้วยเพราะ AI ทำงานได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่ามนุษย์หลายเท่า

 ปัจจุบัน AI ได้ถูกใช้งานในระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อตรวจสอบหลายต่อหลายอย่าง ทั้ง Google และ Facebook ต่างพัฒนา AI ให้ทำงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น ปัจจุบันมันสามารถตรวจสอบข่าวปลอมได้แม่นยำมากถึง 94%แล้ว และในอนาคต AI พวกนี้ก็อาจสร้างภาษาขึ้นมาเพื่อติดต่อและทำงานกันเองได้ด้วย เรียกง่ายๆ ว่ามันพัฒนาตัวมันเองได้

 อีกด้านหนึ่งก็มีข่าวว่าผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ก็เริ่มใช้ AI ในการปลอมแปลงข้อมูลหลอกเหยื่อเพื่อเข้าให้ถึงแหล่งเงินหรือข้อมูลส่วนตัว มีคนคิดไปถึงว่าอนาคตผู้ก่อการร้ายอาจใช้ AI เพื่อเจาะเข้าไปถึงธนาคารหรือความลับทางทหาร...

 ดูเหมือน AI มันไปไกลกว่ามนุษย์แล้วนะครับเนี่ย

 และถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนไม่สนใจเรื่องเหล่านี้และป้องกันตัวเองเต็มที่จาก AI เช่น ไม่ทำธุรกรรมออนไลน์ ไม่ใส่ข้อมูลสำคัญๆ ไว้ในอินเทอร์เน็ต แต่บอกได้เลยว่าคุณไม่สามารถหนีมันพ้น เพราะทุกวันนี้แนวโน้มคือทุกอย่างกำลังมุ่งไปที่ระบบคลาวด์ และ Internet of Things จะเป็นทุกอย่างของมนุษยชาติในอนาคต บีบให้คนเราทำทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ต ใช้เงินสดน้อยลงเรื่อยๆ ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ดีกว่าการตั้งกำแพงก็คือ ต้องเรียนรู้และเท่าทันถึงจะเป็นการป้องกันได้ดีที่สุด

 นี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่ามนุษย์เราจะโดนแย่งงานจากหุ่นยนต์เหล่านี้อีกนะครับ ไม่ต้องรอนานเลย ใกล้ๆ ตัวหน่อย หลายคนคงได้ยินข่าวแล้วว่ามีโรงงานผลิตนาฬิกาบางแบรนด์ของญี่ปุ่นมีแผนจะถอนกำลังการผลิตจากไทยกลับไปบ้านเกิด และเปลี่ยนไปใช้แรงงานจากหุ่นยนต์ทั้งโรงงาน ซึ่งคำนวณแล้วว่าค่าใช้จ่ายพอๆ กัน และอาจจะดีกว่าในระยะยาว เพราะเสียแค่ค่าบำรุงรักษา ไม่ต้องปวดหัวเรื่องคน แถมสินค้ายังได้ประทับตราว่า “Made in Japan” ซึ่งดีกับการค้าการขายอีกด้วย

 ด้านหนึ่งอาจดูเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเจ้าของแบรนด์ที่ต้องมองหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด แต่อีกด้านหนึ่งมนุษย์อย่างเรา ลึกๆ ก็อาจเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามที่กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มาจากหุ่นยนต์

 เรากลับมาที่เรื่องของความกลัวของนักวิทยาศาสตร์กันหน่อย

 แม้ว่าตอนนี้มันอาจจะยังไปไม่ถึงขั้นแบบ I Robot อย่างในนิยายของ ไอแซก อาซิมอฟ เขียนไว้ แต่นักวิทยาศาสตร์ 26 คนจาก 14 องค์กรชั้นนำของโลกก็ได้รวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ร่วมกันเขียนรายงานหนา 100 หน้า เรื่องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษย์จาก AI เพื่อเตือนว่ายังมีอีกด้านหนึ่งของเทคโนโลยีที่ต้องระวัง

 หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์เช่น ชาฮาร์ อาวิน ผู้ร่วมเขียนรายงานภัยคุกคามของปัญญาประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ให้ความเห็นเรื่องของรถยนต์อัตโนมัติที่ทำงานด้วย AI ว่า ท้ายที่สุดเราอาจจะได้รถยนต์ที่ดีกว่าการควบคุมโดยมนุษย์ แต่หากผู้ผลิตยานยนต์ไม่สามารถแก้ไขความบกพร่อง เช่น การจำแนกป้ายจราจรที่มีความใกล้เคียงกันมากๆ ก็อาจทำให้เราได้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่ แต่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคมได้

 หรืออย่างการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เหล่านี้ไปใช้ในงานสงครามหรืออาวุธ ซึ่งมีความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะหากโดนแฮ็กข้อมูล อาจเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงตามมาแบบที่เราไม่สามารถจินตนาการถึง

 รายงานฉบับนี้มีเสียงโต้แย้งออกมามากเหมือนกันครับว่า AI ในปัจจุบันอาจยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้นได้ เพราะข้อจำกัดหลายอย่างในการพัฒนาเพื่อเอามาใช้จริง โดยเฉพาะเรื่องราคาและทรัพยากรที่ต้องนำมาใช้ผลิตหุ่นยนต์ อีกทั้งเรื่องของ “การยอมรับ” ของสังคมต่อบทบาทของหุ่นยนต์อีกด้วย

 อย่างญี่ปุ่นก็เป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ก้าวหน้าเรื่องการใช้หุ่นยนต์ช่วยในการทำงานหลายอย่าง แต่ชาวญี่ปุ่นไม่ยอมรับเรื่องการนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ดูแลมนุษย์

 แต่หากตอนนี้มันมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือเราได้แล้ว ก็ไม่น่ายาก หากในอนาคตมันจะขอแชร์ห้องนั่งเล่นกับเรา

(ข้อมูลอ้างอิง) 

 ดูรายละเอียดเรื่องรายงานความวิตกกังวลต่อเรื่องหุ่นยนต์ได้ที่https://motherboard.vice.com/en_us/article/a34nm4/ai-report-oxford-malicious-weapons

 หรือเข้าไปดูวิดีโอ Fake Obama ได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=AmUC4m6w1wo

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย