posttoday

ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการร้องทุกข์

06 มีนาคม 2561

เดชา กิตติวิทยานันท์ปัจจุบันบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีการมอบอำนาจเพื่อให้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเนื่องจากไม่สะดวกไปดำเนินการด้วยตนเองโดยเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว เช่น กรณีเช็คเด้ง ลูกจ้างยักยอก หรือถูกฉ้อโกง ผู้เสียหายมีความจำเป็นจะต้องรู้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ โดยเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว ถ้าร้องทุกข์ไม่ชอบ ก็ไม่ถือว่ามีการร้องทุกข์ในคดีนั้น ก็จะทำให้คดีขาดอายุความ ทำให้เสียสิทธิในการดำเนินคดีอาญาต่อไป นอกจากนี้ในกรณีที่คดีนั้นมีผู้กระทำความผิดหลายคน ถ้าแจ้งความผู้กระทำความผิดไม่ครบทุกคน ก็จะทำให้ผู้กระทำความผิดบางคนไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความ หลักเกณฑ์ในการร้องทุกข์มีดังนี้

เดชา กิตติวิทยานันท์

ปัจจุบันบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีการมอบอำนาจเพื่อให้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเนื่องจากไม่สะดวกไปดำเนินการด้วยตนเองโดยเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว เช่น กรณีเช็คเด้ง ลูกจ้างยักยอก หรือถูกฉ้อโกง ผู้เสียหายมีความจำเป็นจะต้องรู้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ โดยเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว ถ้าร้องทุกข์ไม่ชอบ ก็ไม่ถือว่ามีการร้องทุกข์ในคดีนั้น ก็จะทำให้คดีขาดอายุความ ทำให้เสียสิทธิในการดำเนินคดีอาญาต่อไป นอกจากนี้ในกรณีที่คดีนั้นมีผู้กระทำความผิดหลายคน ถ้าแจ้งความผู้กระทำความผิดไม่ครบทุกคน ก็จะทำให้ผู้กระทำความผิดบางคนไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความ หลักเกณฑ์ในการร้องทุกข์มีดังนี้

ผู้ร้องทุกข์ต้องมีอำนาจร้องทุกข์ คือ ต้องเป็นผู้เสียหายตามมาตรา 2(4) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือไม่ก็เป็นบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตามมาตรา 4,5 และ 6 ต้องร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจรับคำร้องทุกข์ ต้องร้องทุกข์โดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน หรือแจ้งความไว้เพราะเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดอันแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ ไม่ถือว่าเป็นคำร้องทุกข์ ต้องร้องทุกข์ตามแบบวิธีการร้องทุกข์ตามที่กฎหมายกำหนด และต้องร้องทุกข์ภายในอายุความการร้องทุกข์

หากการร้องทุกข์กระทำไม่ครบหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ย่อมเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบ นอกจากจะทำให้ผู้เสียหายเสียสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแล้ว ก็ยังจะส่งผลทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน ซึ่งเมื่อการสอบสวนไม่ชอบเสียแล้ว พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่อย่างไรก็ตามการร้องทุกข์มีความสำคัญเฉพาะความผิดต่อส่วนตัว ถ้าเป็นความผิดต่อแผ่นดิน แม้จะร้องทุกข์โดยไม่ชอบ พนักงานสอบสวนก็ยังคงมีอำนาจสอบสวนได้

กรณีผู้เสียหายนำคดีไปฟ้องต่อศาลเองไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นคดีความผิดต่อ ส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความร้องทุกข์ คือภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 มิฉะนั้นคดีจะขาดอายุความ

อย่างไรก็ตาม การร้องทุกข์แม้จะมีการระบุฐานความผิดเอาไว้ และมีการสอบสวนในข้อหาตามที่ได้ร้องทุกข์ แต่ก็ไม่ผูกพันพนักงานอัยการว่าต้องฟ้องจำเลยในข้อหาตามที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนและทำความเห็นสั่งฟ้อง

ตัวอย่างคำพิพากษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

คำพิพากษาฎีกาที่ 9282/2555 ความผิดข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 เป็นความผิดต่อแผ่นดิน ซึ่งพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนได้เองโดยจำต้องอาศัยคำร้องทุกข์หรือการมอบคดีจากผู้เสียหายแต่อย่างใด แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนจะมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เนื่องจากสมัครใจวิวาทกับจำเลยก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวน ถือว่าคดีนี้มีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานอัยการโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี

คำพิพากษาฎีกาที่ 6644/2549 เมื่อข้อความในสำเนารายงานประจำวันดังกล่าวระบุแต่เพียงว่าผู้เสียหายทั้งสามมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาต่อไป จึงมิใช่เป็นการมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) เพราะขณะแจ้งยังมิได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การสอบสวนความผิดฐานนี้ต่อมาภายหลังจึงเป็นการไม่ชอบ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาฎีกาที่ 4308/2547 โจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ พนักงานสอบสวนสอบสวนจำเลยแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยในข้อหายักยอก แต่โจทก์ (พนักงานอัยการ) เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนเป็นความผิดฐานฉ้อโกงจึงฟ้องจำเลยในข้อหาฉ้อโกง กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องความเห็นของโจทก์กับพนักงานสอบสวนแตกต่างกันในการปรับบทกฎหมายกับการกระทำของจำเลย ถือว่าพนักงานสอบสวนได้สอบสวนในข้อหาฉ้อโกงแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ก่อนร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนควรปรึกษาทนายความเพื่อเตรียมคดีให้รอบคอบ เพราะมิฉะนั้นอาจทำให้การร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข่าวล่าสุด

ชี้จุด วิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน - นครราชสีมา ต้องไปจุดไหน?