posttoday

หยุดคอร์รัปชั่นด้วยความแปลกปลอม

04 มีนาคม 2561

ถ้าจะมีใครชิงชังการคอร์รัปชั่นที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ คนคนนั้นย่อมเป็นฮ่องเต้

ถ้าจะมีใครชิงชังการคอร์รัปชั่นที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ คนคนนั้นย่อมเป็นฮ่องเต้ เพราะในยุคสมัยที่ทั้งแผ่นดินเป็นของฮ่องเต้ คอร์รัปชั่นกับประชาชน กับสังคม ก็คือโกงฮ่องเต้โดยปริยาย

ฮ่องเต้จำนวนไม่น้อยยังรู้อีกว่าเรื่องนี้ถ้าไม่แก้ที่คน ไม่ก็ต้องแก้ที่ระบบ จึงต่างรวบรวมสรรพกำลังและปัญญามาแก้ไข แต่การคอร์รัปชั่นก็หนักหน่วงในทุกยุคทุกสมัยอยู่ดี

บรรดาราชวงศ์จีนจึงมีแต่ปีที่เฉลิมฉลองผลผลิตดี (เหลือส่วนแบ่งให้ฮ่องเต้เยอะ) แต่ไม่เคยได้ฉลองปีปลอดคอร์รัปชั่น...

แต่ถ้าเป็นปีปราบคอร์รัปชั่นก็มีไม่น้อย

เช่น ฮ่องเต้หงอู่ (จูหยวนจาง) ผู้สถาปนาราชวงศ์หมิง พึ่งระบบกฎหมายเข้มข้นมาปราบโกง แต่ละคดีฆ่าขุนนางไปแทบหมดท้องพระโรง แต่ในบั้นปลายยังต้องท้อใจรำพึงว่า ปราบ เท่าไหร่ก็ไม่หมด เช้าประหารไปกลุ่มหนึ่ง เย็นก็มีอีกกลุ่มโผล่มาอีก

กฎหมายเด็ดขาดรุนแรงจึงตกรอบไป

ในราชวงศ์หมิงอีกเช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ใช้อีกวิธีแต่งตั้งให้ขุนนางที่มีจริยธรรมสูงส่งอย่างไห่รุ่ยมาปราบคอร์รัปชั่น ไห่รุ่ยคนนี้เกลียดการโกงกินเป็นที่สุด เขาได้ชื่อว่า "เปาบุ้นจิ้นหน้าขาว" คิดดูว่าจะบริสุทธิ์ปลอดโกงขนาดไหน

อันที่จริงจะว่าไป ต่อมจริยธรรมของไห่รุ่ยบริสุทธิ์จนน่าสะพรึง

ครั้งหนึ่งลูกสาวอายุ 5 ขวบของไห่รุ่ยกินขนมเปี๊ยะอยู่ ไห่รุ่ยเห็นเข้าจึงถามว่าเอาขนมมาจากไหน หนูน้อยตอบว่า พี่ชายข้างบ้านให้มา ไห่รุ่ยบอกว่าเป็นลูกสาวข้าจะรับของจากเด็กอื่นมากินได้อย่างไร สมควรต้องให้อดตายไปเสีย...

ไห่รุ่ยคนจริงทำตามที่ว่า สัปดาห์ต่อมาลูกสาวไห่รุ่ยจึงต้องตายไป (ในมุมของคนยุคใหม่ นี้คือความโหดร้ายเลวทราม แต่ในยุคนั้นคือตัวอย่างของความบริสุทธิ์ไร้มลทิน)

กับขุนนางขี้ฉ้อ ไห่รุ่ยย่อมยิ่งไม่ปราณี จะโบยตีแล่เนื้อเถือหนัง ไห่รุ่ยสนับสนุนหมด

แต่ถนนราชวงศ์หมิงก็ยังไม่ปูด้วยทองคำ ปัญหาคอร์รัปชั่นหาได้เบาบางลงไม่

แท้จริงปัญหาคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่ในราชสำนักไม่ใช่ปัญหาจริยธรรมหรือความกล้าท้าทายกฎหมาย แต่อยู่ที่เครือข่ายอันโยงใยกันจนเป็นธรรมเนียม จนแม้แต่ขุนนางที่มีจริยธรรมดีงามก็หลีกเลี่ยงเครือข่ายนี้ไปได้ยาก

ลองเอ่ยชื่อขุนนางดีในประวัติศาสตร์จีนขึ้นมา ก็บอกได้ว่า 99% ของรายชื่อก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในระบบนี้

ไม่ให้ก็อยู่ไม่ได้ ไม่รับก็ว่าไม่มีมารยาท รับน้อยไปก็ทำลายระบบ รับมากไปก็โดนต่อว่าว่าละโมบ...แน่ะ!

นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีกลไกและธรรมเนียมของมันเองที่ต้องรู้

คอร์รัปชั่นรูปแบบนี้คือเรื่องจริง ไม่ใช่การคอร์รัปชั่นแบบในละครที่วาดภาพตัวโกงเป็นปีศาจร้ายผู้โดดเดี่ยวลอยตัว และการคอร์รัปชั่นแบบนี้แหละที่เป็นเครือข่ายฝังรากกว้างไกล ลึกล้ำ กำจัดยาก

แต่ช่วงปลายราชวงศ์ชิง เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอยู่อย่าง ซึ่งเกิดจากผู้บริหารกรมศุลกากรชาวอังกฤษของราชสำนักชิง ที่ชื่อ เซอร์ โรเบิร์ต ฮาร์ต (Sir Robert Hart)

ประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของจีน ถือกันว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย ที่ราชสำนักชิง (ซึ่งก็คือซูสีไทเฮา-ผู้มีอำนาจสูงสุดในยุคนั้น) ยอมให้ฝรั่งมังค่ามาบริหารทรัพย์สมบัติของจีน

ที่มาของเรื่องนี้เกิดจากว่า ช่วงนั้นราชสำนักชิงกับชาติฝรั่งมักมีเรื่องปะทะกันรุนแรงถึงขั้นเปิดศึกสงครามอยู่เสมอ และฝ่ายชิงมักเป็นฝ่ายแพ้ ต้องจ่ายค่าเสียหายอยู่เนืองๆ

แต่ราชสำนักกลับมีรายได้กระท่อนกระแท่นไม่แน่นอน เพื่อความมั่นใจว่าทางอังกฤษจะเก็บค่าเสียหายได้แน่ อังกฤษเลยเสนอว่า จะส่งชาวอังกฤษคนหนึ่งมาช่วยบริหารกรมศุลกากร

เพราะไหนๆ กรมนี้ก็ต้องติดต่อเรื่องนำเข้าส่งออกกับบรรดาฝรั่ง ใช้ตัวแทนของเรา (อังกฤษ) เข้ามาบริหาร จะได้ตัดปัญหาจุกจิก โดยรายได้ก็ตัดมาใช้หนี้สงครามตามเป้า แล้วที่เหลือจึงจะส่งเข้าราชสำนักตามจริง

ราชสำนักและซูสีไทเฮาขบคิดแล้วเห็นว่ารับได้ เพราะงานศุลกากรเกี่ยวกับ "อั่งม้อ" น่าระอา ที่ผ่านมามักเกิดปัญหาขัดแย้งจุกจิกให้ "เท้าฮิ้ง" อยู่เสมอ ให้ตัวแทนจากอังกฤษมา บริหารน่าจะลดปัญหาไปเยอะ อย่างไรเสียพนักงานกรมศุลฯ ที่เหลือก็เป็นจีน ทุกอย่างน่าจะยังอยู่ในสายตาราชสำนัก

คือตัดสินใจแบบตัดปัญหา ไม่ได้คิดในมุมชาตินิยม...

แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนายฮาร์ตเข้ามา ราชสำนักต้องตกใจ เพราะกรมศุลฯ กลายเป็นหน่วยงานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพที่สุดในช่วงปลายราชวงศ์ชิง

ในปี ค.ศ. 1861 นายฮาร์ต ซึ่งอายุได้ยี่สิบกว่ามารับตำแหน่ง ราชสำนักเก็บภาษีศุลกากรตลอดปีได้ไม่ถึง 5 ล้านตำลึงเงินดี แต่ในปีที่เขาเข้าบริหาร ภาษีศุลกากรที่เก็บได้ก็ทำสถิติทะลุเป้าเป็น 30 ล้านตำลึงเงิน แถมแต่ละปียังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงต่อเนื่อง จนกรมศุลฯ กลายเป็นแหล่งเงินสำคัญของราชสำนักชิงตอนปลาย

นายฮาร์ตรับตำแหน่งผู้บริหารกรมศุลกากรจีนเกือบ 50 ปี จนในปี 1908 รู้สึกตัวว่าอายุมากทำงานไม่ไหว จึงขอลากลับบ้านเกิด

ราชสำนักชิงดูจะซาบซึ้งในการทำงานของนายฮาร์ตไม่เบา ประกาศคงตำแหน่งไว้กับเขาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต และเมื่อนายฮาร์ตเสียชีวิตลงได้อวยตำแหน่ง "ไท่จื่อไท่เป่า" (เทียบเท่าข้าราชการซี 10) ให้อีกด้วย

และถึงนายฮาร์ตจะจากไป กรมศุลฯ ก็ยังทำรายได้ให้กับจีนจนถึงยุคสาธารณรัฐอย่างมั่นคง

นายฮาร์ตเป็นคนดีหรือมีระบบดี?

แน่นอนว่านายฮาร์ตไม่ใช่คนเลวร้าย แต่จะเป็นคนดีขนาดไห่รุ่ยก็คงไม่ใช่ และความดีของนายฮาร์ตคงไม่ได้ถ่ายทอดถึงขุนนางจีนในกรมศุลฯ นับพันคนได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน

แถมนายฮาร์ตไม่ได้มีสิทธิอำนาจในการสั่งโบย ประหาร หรือแล่เนื้อเถือหนังใครทั้งสิ้น นายฮาร์ตแค่นำระบบการบริหารแบบอังกฤษซึ้งล้ำสมัยกว่าจีนบ้างเข้ามาบริหาร

จะบอกว่าระบบการจัดการแบบใหม่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามคอร์รัปชั่น ก็ใช่จะบอกได้เต็มปากเต็มคำ เพราะกรมศุลฯ ก็ยังคงอยู่ภายใต้ระบบระเบียบฮ่องเต้ อำมาตย์ เดิมๆ มิได้โปร่งหรือทึบไปไกลกว่าเดิมมากมาย

ประสิทธิภาพและความโปร่งใสจึงน่าจะเกิดจากนายฮาร์ตและระบบที่นำเข้ามาเป็นสิ่งแปลกปลอม ต่อไม่ติดกับเครือข่ายขุนนางระบบเดิมของจีนมากกว่า

เครือข่ายที่ไม่ให้ก็อยู่ไม่ได้ ไม่รับก็ไม่มีมารยาทที่ต่างมีชนักติดหลังโยงใยกันนัวเนียนั่นแหละ!

นายฮาร์ตซึ่งเป็นฝรั่งมังค่ากับลูกน้องในหน่วยงานซึ่งเป็นชาวจีน ซึ่งต่างก็มีระดับจริยธรรมธรรมดา กับระบบที่แปลกปลอมฉับพลัน จึงต่อไม่ติดกับเครือข่ายดั้งเดิม และเมื่อต่อไม่ติด จึงหลุดออกนอกเครือข่ายคอร์รัปชั่นและโปร่งใส เพียงเพราะแค่ทำงานไปตามที่ควรจะเป็น

ดั่งเช่นหากเอาขุนนางที่เคยคอร์รัปชั่นอยู่เดิม ย้ายไปอยู่บริษัทใหม่ซึ่งใช้ระบบการทำงาน และมีความสัมพันธ์กันกันแบบใหม่ จะมีขุนนางคนไหนเล่าที่จะร้ายกาจจนสร้างเครือข่ายคอร์รัปชั่นแบบเดิมได้ทันที... มันต้องมีช่วงมึนๆ แน่นอน

ความสำเร็จแบบนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่การ ตั้งใจ "ปราบปราม" แต่อยู่ที่การนำความ "แปลกปลอม" เข้ามาหยุดเครือข่าย พูดอีกด้านหนึ่งก็คือ การตัดเอาส่วนเล็กๆ ของเครือข่ายให้หลุดออกจากเครือข่ายใหญ่ กลายเป็นการสลายคอร์รัปชั่นโดยอัตโนมัติ

คนที่มีจริยธรรมธรรมดา ขอเพียงโดดเดี่ยวจากเครือข่ายโกง จึงโปร่งใสได้ง่ายกว่าคนมีจริยธรรมสูงส่ง (ในเครือข่าย)

แน่นอนว่าความเป็นคนดีและระบบที่ป้องกันคอร์รัปชั่นก็ต้องมีอยู่ มิเช่นนั้นหน่วยงานใหม่ก็สามารถพัฒนาเครือข่ายโกงขึ้นเชื่อมต่อกับเครือข่ายใหญ่ได้เช่นกัน

เพียงแต่คิดแค่จะใช้คนดีสุดๆ หรือระบบเข้มข้นรุนแรง โดยไม่เข้าใจถึงธรรมชาติเครือข่าย ราก และแก่นของการคอรัปชั่น อาจจะทำให้การทุ่มเททรัพยากรปราบปรามไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่ว่าทรัพยากรนั้นจะเป็นภาษีที่นำมาสร้างป้ายรณรงค์ หรือน้ำลายของประชาชนผู้หงุดหงิด

คนนอกระบบ รวมถึงระบบที่เครือข่ายคอร์รัปชั่นยังไม่เคยเข้าไปเกี่ยวพัน จึงกลายเป็นความหวังของการหยุดคอร์รัปชั่นได้อีกทางเสมอ ในขณะเดียวกัน การใช้ผู้คนที่เติบโตจากระบบเครือข่ายโกงจึงปราบคอร์รัปชั่นได้ยากเย็น n

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ