นำร่องนิวแพลตฟอร์ม สมาร์ทโกรว์เมืองยั่งยืน
อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร ด้วยแนวโน้มประชากรรวมทั้งนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เมืองเติบโตแบบกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ย่อมส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาเมืองตามมา และหากปล่อยให้เมืองพัฒนาในรูปแบบเดิมๆ จะสูญเสียความน่าอยู่และความสามารถในการแข่งขันในที่สุด
อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร
ด้วยแนวโน้มประชากรรวมทั้งนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เมืองเติบโตแบบกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ย่อมส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาเมืองตามมา และหากปล่อยให้เมืองพัฒนาในรูปแบบเดิมๆ จะสูญเสียความน่าอยู่และความสามารถในการแข่งขันในที่สุด
ทั้งนี้ แนวคิดการเติบโตอย่างชาญฉลาด (Smart Growth) จึงเป็นกรอบในการวางผังพัฒนาเมืองเพื่อให้เมืองน่าอยู่และยั่งยืน อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า Smart Growth คือนิวแพลตฟอร์มจะช่วยขับเคลื่อนเมือง ซึ่งเป้าหมายสำคัญของการออกแบบและวางผังย่านชุมชนเมือง โดยจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ในระยะยาวที่มุ่งหวังสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการสงวนรักษาสภาพแวดล้อมและการกระจายความเท่าเทียม ขณะเดียวกันต้องเพิ่มความเข้มข้นของการใช้ที่ดินให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยมากมายแต่ไม่มีการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้หากนำองค์ความรู้เป็นตัวนำจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดการเติบโตของเมืองให้น่าอยู่ โดยปัจจุบันมีบริษัทพัฒนาเมืองถึง 13 แห่งที่มีความพร้อมจะเดินหน้าและมีความคาดหวังที่ต้องการแก้ปัญหาและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ของจังหวัดตนเองในอนาคต
ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการหน่วย หน่วยบูรณาการวิจัยและความร่วมมือเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ สกว. กล่าวว่า ในปี 2561 จะมีการนำร่อง 6 หัวเมืองหลัก คือ เชียงใหม่ ขอนแก่น สระบุรี ระยอง สุโขทัย และภูเก็ต ที่จะนำย่านเศรษฐกิจมาพัฒนารูปแบบนิวแพลตฟอร์ม โดยเบื้องต้นใช้งบจำนวน 10 ล้านบาท ไปดำเนินการศึกษาวิจัยให้เกิดการบูรณาการแนวความคิดร่วมกับกับคนในท้องถิ่น หลังจากนำผลงานวิจัยนำมาสู่การใช้งานได้จริงและพัฒนา ต่อยอดได้ อย่างไรก็ดีทาง สกว.จะขยายเฟส 2 ในปี 2562 อีกไม่น้อยกว่า 6 แห่ง
ด้าน พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการพัฒนาที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง ทั้งนี้เห็นว่าเมืองจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ต้องมีบิ๊กดาต้าซึ่งเป็นคลังข้อมูลสำคัญต่อการลงทุน รวมทั้งการวางผังเมืองต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเพราะมีหลายพื้นที่กลายเป็นข้อจำกัด
ขณะเดียวกัน มองว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและข้อกำหนดทางผังเมืองเป็นการผลักดันให้ที่อยู่อาศัยไปอยู่ชานเมือง ขณะที่แหล่งงานและสิ่งอำนวยความสะดวกกลับอยู่ในเมือง ทำให้เกิดต้นทุนการเดินทาง อีกทั้งเมื่อกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบังคับใช้เจ้าของที่ดินไม่สามารถใช้ที่ดินได้คุ้มค่ากับภาษีที่จ่าย
ขณะที่ สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย รองคณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เมืองเกิดการพัฒนาได้จริงนอกจากรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักแล้ว ภาคเอกชนสามารถมีส่วนช่วย ขับเคลื่อนโดยการนำองค์ความรู้มาบริหารจัดการในข้อจำกัด ปรับบริบทตัวเอง
นอกจากนี้ ควรนำแนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (ทีโอดี) การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมจะทำให้ลดต้นทุนเพื่อทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งได้ เป็นต้น


