เฉียนหลง : ล่าพ่อมดกบฏการเมือง
ปี ค.ศ. 1768 ฮ่องเต้เฉียนหลงครองราชย์ได้ 33 ปี นับเป็นขวบปีที่รุ่งเรืองที่สุดครั้งสุดท้ายของราชวงศ์ชิง
ปี ค.ศ. 1768 ฮ่องเต้เฉียนหลงครองราชย์ได้ 33 ปี นับเป็นขวบปีที่รุ่งเรืองที่สุดครั้งสุดท้ายของราชวงศ์ชิง หากเทียบกันระดับโลกในปีนั้น ไม่ว่าจำนวนประชากร เศรษฐกิจ กำลังการผลิตสินค้า ถือว่าอาณาจักรชิงเหนือกว่าประเทศใดๆ
แต่แล้วก็มีคดีปริศนาเกิดขึ้นคดีหนึ่ง เป็นคดีทำคุณไสยในหมู่ชาวบ้านแถบมณฑลซานตง คดีบ้านๆ เช่นนี้ ฮ่องเต้เฉียนหลงไม่ได้ใส่ใจหรือเชื่อในคุณไสยอะไร แต่ในฐานะฮ่องเต้ผู้ห่วงใยประชาราษฎร์เกรงว่าปล่อยไปชาวบ้านจะขวัญผวาไม่เป็นสุข
ฮ่องเต้เฉียนหลงจึงสั่งให้ข้าราชการท้องถิ่นจับตาดู แต่ก็ฝากไว้ว่าไม่ต้องให้เป็นเรื่องใหญ่ จะได้ไม่ตกหลุมพรางพวกชอบสร้างความตื่นตระหนก
กรรมวิธีทำคุณไสยที่ว่า คือต้องแอบตัดเปียชาวบ้านเพื่อให้พ่อมดไปทำพิธี "ขโมยขวัญ" ชาวบ้านจีนสมัยนั้นเชื่อกันว่า หากขวัญถูกขโมยไป จะทำให้เจ้าของขวัญไม่สบาย หรืออาจถึงตายได้ ขวัญยังเอาไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น สร้างสะพานสร้างกำแพงก็เอาเส้นผม (ตัวแทนขวัญ) ของใครก็ได้ไปฝังไว้ที่ฐานราก สะพานหรือกำแพงก็จะสร้างเสร็จมั่นคงแข็งแรง ส่วนเจ้าของขวัญก็รับเคราะห์ไป
ข้าราชการท้องถิ่นสมัยนั้น มีอยู่สองทางเลือกเพื่อสร้างผลงาน หนึ่งคือพยายามให้ท้องถิ่นที่ตัวเองสงบสุขที่สุด บางครั้งถึงมีเรื่องร้อนเกิดขึ้นก็พยายามปิดบังไม่ให้ไปถึงเบื้องบน สองคือเมื่อเรื่องเล็ดลอดไปถึงเบื้องบนแล้ว ก็ชิงลงมือทำให้มันโด่งดังและเล่นใหญ่เข้าไว้ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสสร้างผลงาน
นายตำรวจประจำซานตงเลือกเล่นใหญ่ แข็งขันหาพ่อมดผู้ทำคุณไสยจนได้ตัว แต่เนื่องจากต้องการเล่นใหญ่จึงพยายามสืบเค้นต่อไป พ่อมดจึงกลายเป็นแพะรับสารภาพเลยเถิดต่างๆ นานาตามประสาแพะโดนทรมาน นายตำรวจคนขยันจึงมีข้อมูลว่าคดีนี้ไม่ใช่แค่มูลฝอยแต่เกี่ยวพันถึงแผนกบฏ
สำหรับเฉียนหลงคำว่าไสยศาสตร์ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องกบฏนี่จี้ใจดำ และเพราะราชวงศ์ชิงมีปมบังคับให้ประชาชนให้โกนผมด้านหน้าแล้วไว้เปียแบบชาวแมนจู เพื่อแสดงความสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ชิง การตัดเปียจึงเท่ากับประกาศตัวไม่ภักดี
เฉียนหลงเชื่อมโยงได้ว่าแอบตัดเปียขโมยขวัญอาจเป็นเพียงแผนหนึ่ง แผนสองคือทำให้เกิดความสับสน ระหว่างคนคิดกบฏและคนโดนขโมยขวัญ เท่านี้ราชสำนักก็แยกแยะลำบาก ขบวนการล้มล้างราชวงศ์ชิงจะเติบใหญ่บานปลาย
คดีนี้ต้องสืบสาวถึงต้นตอ แพะส่วนใหญ่เป็นพระหรือไม่ก็ขอทาน เพราะพระดูน่าจะมีมนต์ และขอทานเป็นคนที่สังคมไม่ไว้ใจ และไม่ว่าขอทาน พระ หรือว่า แพะ ก็ล้วนไม่ใช่ต้นไม้จึงไม่มีต้นตอที่แท้จริง
คำสารภาพพาดพิงมั่วซั่วไปไกลถึงหัวหน้าขบวนการในมณฑลอื่นด้วย เบื้องต้นล้วนเป็นมณฑลทางใต้ (จีนเรียกว่าแถบเจียงหนาน) ซึ่งเต็มไปด้วยพวกชาวจีนฮั่นซึ่งฮ่องเต้ชิงไม่เคยไว้ใจ นับว่านายตำรวจซานตง บีบแพะให้สารภาพได้เข้าทาง เข้าทางอคติที่เฉียนหลงมีต่อผู้คนทางใต้
นายตำรวจแห่งซานตงได้คำชื่นชมยกใหญ่ ขั้น ต่อไปเฉียนหลงจึงสั่งเคลียร์เจียงหนาน ทำเอาผู้ว่าแถบเจียงหนานแต่ละคนเก้าอี้ร้อน เพราะเฉียนหลงไล่กล่าวโทษ ว่าปล่อยให้ศูนย์การกบฏขยายฐานไปถึงซานตง- ดินแดนฝั่งเหนือโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้อย่างไร
เมื่อตอไม่มีอยู่จริง แต่เบื้องบนรู้สึกไปแล้วว่ามี ปฏิเสธไปเฉียนหลงก็ใส่กลับว่าไม่มีได้อย่างไร มีคนพาดพิงมาเห็นๆ ขุนนางท้องถิ่นจึงทำได้แต่พยายามหาเรื่องราวที่ใกล้เคียงกันให้ท่านสบายใจ ผลปรากฏว่าข่าวลือข่าวลมเรื่องทำคุณไสยในหมู่ชาวบ้านจำนวนมาก กลายเป็นประจักษ์พยานและผู้ต้องหาในคดีการเมืองนี้หมด เพราะผลทางจิตวิทยาที่เฉียนหลงกดดันลงมาแท้ๆ
การควานหาข่าวลือเรื่องคุณไสย จึงกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อ KPI ที่ผู้ว่ามณฑลต้องควานหา เรื่องพวกนี้ขอแค่ฮ่องเต้ต้องการ ไม่ต้องกลัวว่าจะผลิตออกมาถวายให้ไม่ได้
ขบวนการหาหลักฐานพยานเต็มไปด้วยความเละเทะ เช่น เมื่อมีนายสมศักดิ์แห่งซานตงโดนทรมานจนพาดพิงนายสมชายแห่งเจ้อเจียง ผู้ว่าการเจ้อเจียงหาเจอแต่นายสมหมายที่น่าสงสัย ก็บอกว่าสมหมายนี่แหละที่ใช่เพราะชื่อคล้ายสมชาย คดีจะได้ปิดง่าย ประหยัดแรง
ทำคดีกันแบบนี้มองจากระยะไกลและอคติย่อมต่อติดและดูมีมูล ยิ่งมีมูลเฉียนหลงยิ่งส่งแรงกดดัน ยิ่งกดดันยิ่งเกิดแพะ แพะบางตัวแขนขาพิการ บ้างต้องสังเวยด้วยชีวิต
ที่จริงเฉียนหลงไม่ใช่ฮ่องเต้โง่งม ทรงเน้นย้ำว่าห้ามมีผู้ต้องหาตาย ต้องมีชีวิตส่งมาสอบปากคำขั้นสุดท้ายที่ปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั้งหลายแก้ตัวพัลวันว่าไม่ได้ตั้งใจแค่ซ้อมไม่กี่ไม้ ผู้ต้องหาเลยสลบไปแล้วไม่ฟื้น
ไม่ฟื้นก็ต้องหาผู้ต้องหารายใหม่ ทำเอาคดีนี้พัวพันกว้างไกลไปถึง 12 มณฑล
เดือดร้อนถึงสองขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักนามหลิวถ่งซวิน และฟู่เหิง ที่ยังมีสติและปัญญา ไม่บ้าจี้ไปตามเฉียนหลง ทั้งสองคนเห็นว่าคดีนี้ชักไปกันใหญ่ ถ้าปล่อยให้เล่นกันต่อไป จะกลายเป็นอาวุธที่หยิบยื่นให้กับชาวบ้านฆ่ากันเอง
สภาพความเป็นอยู่ของราชวงศ์ชิงช่วงนั้นแม้รุ่งเรือง แต่จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดปัญหาขาดที่ดินทำกิน บางส่วนต้องอพยพย้ายถิ่น บ้างเป็นขอทานร่อนเร่ สังคมจึงเต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ความไม่ไว้ใจกันในสังคมจึงเป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายในคดีนี้
และข้อกล่าวหาว่า "ขโมยขวัญ" สามารถกลายเป็นอาวุธฟาดฟันเพื่อกลั่นแกล้งและกำจัดคนที่ผิดใจ หรือไม่ชอบหน้าเป็นการส่วนตัวได้ทุกเมื่อ
หลิวถ่งซวิน และฟู่เหิงกล้าขัดใจเบื้องบน เสนอตัวเข้ามาแฉคดีให้เฉียนหลงฟัง ว่าผู้ต้องหาและพยานในคดีนี้ไร้สาระขนาดไหน ไร้สาระจนจับสมหมายมาแทนสมชายได้ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าสมศักดิ์กับสมหมายจะรู้จักกัน และผู้ต้องหาแต่ละคนเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉียนหลงนั้นต่างก็ร้องโหยหาความเป็นธรรมว่าโดนใส่ร้ายทรมาน
เฉียนหลงหวาดระแวงกบฏแต่ไม่ถึงกับหูหนวกตาบอด ฟังสองขุนนางใหญ่แล้วเฉียนไม่หลงอีก ต่อไป แต่ก็รู้ตัวว่าเรื่องราวใหญ่โตเพราะส่วนหนึ่งตนสั่งกดดันลงไป ขุนนางหลายคนก็บอกแล้วว่าไม่มี แต่ตัวเองนี่แหละที่กดดันว่าต้องหามาให้ได้
เฉียนหลงกระจ่างแล้ว จึงสั่งเลิก แล้วตำหนิและสั่งพักสั่งย้ายขุนนางท้องถิ่นบ้างเป็นพิธี แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีขุนนางคนไหนโดนลงโทษจริงจัง ทั้งหมดเป็นเพียงละครแก้เก้อฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
คดีดังโอละพ่อคดีนี้สะท้อนได้หลายสิ่ง หนึ่งในนั้นคือคำถามที่ว่าราชอาณาจักรจีนอันยิ่งใหญ่นั้นยังรุ่งเรืองต่อไปได้จริงหรือกลไกราชการทำงานผิดพลาดและเลยเถิดเพียงเพราะการกดดันจากเบื้องบน เรื่องเล็กจึงกลายเป็นประเด็นสมคบคิดใหญ่โตสั่นคลอน 12 มณฑล และแทบทั้งหมดของกระบวนการไม่มีสามารถทัดทานแนวคิดที่ผิดทิศได้ และหากปราศจากขุนนางใหญ่ผู้กล้าทัดทานเพียงสองคน คดีนี้มิรู้จะไปถึงไหนต่อไหน
บ้านเมืองนี้จะต้องใช้ฮีโร่อีกเท่าไหร่ ในการทำสิ่งง่าย ๆ ที่ถูกต้อง
ทั้งหมดเมื่อรวมกับปัจจัยความไม่ไว้วางใจต่อกันและกันในสังคม จึงสะท้อนว่าความรุ่งเรืองสูงสุดที่เห็น จะรอก็แต่ขาลง หรือรอแค่คนเริ่มจุดไฟเท่านั้นก็พร้อมจะลุกลามเกิดปัญหาได้ทันที โดยที่จีนไม่จำเป็นต้องมีชาติตะวันตกเข้ารุกราน
ปัญหาบ้านๆ เล็กๆ โอละพ่อ ที่ต้องมีฮีโร่ออก โรงประจำ จึงไม่ใช่เรื่องวายป่วงไปวันๆ แต่กลับเป็นเครื่องชี้วัดว่าระบบขับเคลื่อนสังคมยังมีจุดที่ต้องรีบแก้ไข และต้องแก้ไขให้ได้ด้วยระบบเท่านั้นจึงยั่งยืน


