‘วงศาวิทยาของอิเหนา’ สำรวจโลกทัศน์ชวา-มลายู ของ ทวีศักดิ์ เผือกสม
หนังสือเชิงวิชาการเกี่ยวกับประวัติ ศาสตร์วรรณกรรม มักจะไม่แพร่หลายและเป็นที่รับรู้ของนักอ่านทั่วไป แต่อย่างที่ว่าหนังสือประเภทนี้ก็มีตลาดเฉพาะของตัวเอง
โดย เพรงเทพ
หนังสือเชิงวิชาการเกี่ยวกับประวัติ ศาสตร์วรรณกรรม มักจะไม่แพร่หลายและเป็นที่รับรู้ของนักอ่านทั่วไป แต่อย่างที่ว่าหนังสือประเภทนี้ก็มีตลาดเฉพาะของตัวเอง
โดยเฉพาะคนที่สนใจอย่างลุ่มลึกหรือนักอ่านสายแข็งที่มีอยู่จำนวนไม่น้อย รวมถึงบรรดาอาจารย์และนักศึกษาในสายประวัติศาสตร์ วรรณกรรม สังคมวิทยา มานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์ และศิลปศาสตร์ จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ในสังคมไทย อิเหนา เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นบทละครที่วรรณคดีสโมสรยกย่องให้เป็นยอดของบทละครรำ เพราะเป็นหนังสือซึ่งแต่งดีพร้อมทั้งเนื้อหา ทั้งความไพเราะ ทั้งกระบวนที่จะเล่นละครประกอบกัน และยังเป็นหนังสือดีในทางที่จะศึกษาประเพณีไทยสมัยโบราณ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ตรงตามตำราทุกอย่าง แม้บทละครเรื่องอิเหนาจะมีเค้าโครงเรื่องมาจากนิทานพื้นเมืองชวา แต่ทรงดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับธรรมเนียมของบ้านเมือง อัธยาศัยและรสนิยมของคนไทย
“วงศาวิทยาของอิเหนา” ที่เขียนโดย ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จึงมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นงานเขียนที่ใช้แนวทางแบบวงศาวิทยาเพื่อสืบสาวสายรากความคิดและมโนทัศน์เกี่ยวกับความเป็นชวาในสังคมไทย ที่ผลิดอกออกช่อไปจากวรรณคดีเรื่องอิเหนา/นิทานปันหยีอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สังคมไทยอาจนำมาใช้ในการทำความเข้าใจโลกอื่น
“เดิมทีหนังสือเล่มนี้เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ทางด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา พอเรียนจบแล้ว ผมก็คิดอยู่มากเหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อไหม อาจารย์ก็ถามว่าไม่พิมพ์เป็นหนังสือเหรอ เพราะได้รางวัล” ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ เล่าและแนะนำถึงที่มาของหนังสือเล่มนี้ก่อนการเสวนาที่ร้านหนังสือสมมติ
หนังสือเล่มนี้เดิมทีเคยอยู่ในฐานะวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกฉบับภาษาอังกฤษแห่งสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ทั้งยังได้รับรางวัล “หวังกังวู” สำหรับวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมด้านสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ประจำปีการศึกษา 2550-2551 ก่อนที่ผู้เขียนจะได้เรียบเรียงและแต่งเป็นสำนวนภาษาไทย กระทั่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
“พอทำเป็นภาษาไทยมันไม่ง่าย ใช้เวลานานทีเดียว สังคมไทยสนใจเรื่องอิเหนาอยู่แล้ว คิดว่าทำเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ทั้งคนที่สนใจศึกษาเรื่องอิเหนา คนที่สนใจเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินโดนีเซีย ก็เลยใช้เวลาทำต้นฉบับจากต้นฉบับเดิมในปี 2552-2553 แล้วทิ้งไปนานมาก ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาจึงย้อนกลับมาทำใหม่”
สำหรับวรรณคดีอิเหนา เป็นวรรณคดีที่มีมาแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีที่มาจากนิทานปันหยี ซึ่งเป็นคำสามัญที่ชาวชวาใช้เรียกวรรณคดีที่มีความสำคัญมากเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องอิเหนา ปันหยี กรัต ปาตี
วรรณคดีเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องเป็นพงศาวดารแต่งขึ้นเพื่อการเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์ชวาพระองค์หนึ่ง ซึ่งทรงเป็นนักรบนักปกครอง และทรงสร้างความเจริญให้แก่ชวาเป็นอย่างมาก ชาวชวาถือว่าอิเหนาเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้มีฤทธิ์ เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นนิทานที่เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์
“เวลาไปเรียนหรือทำวิทยานิพนธ์เรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจารย์ก็จะกระตุ้นให้ไปมองที่อื่นบ้าง อย่าทำแต่เรื่องเมืองไทย เราก็พยายามผลักให้คิดเรื่องระหว่างตัวเองกับคนอื่นในภูมิภาคยังไง อะไรคือแว่นตาที่ถูกผลิตขึ้นมา มีแว่นอะไรบางอย่างถูกสร้างขึ้นมา ในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์มีชุดของการมองถูกสร้างขึ้นมา”
โดยเฉพาะในการมุ่งทำความเข้าใจอินโดนีเซีย หรือโลกชวา-มลายู ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ ขยายความว่า หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการสืบสาว ตรวจสอบ และทำความเข้าใจต่อเรื่องเล่าของ “อิเหนา” อันเป็นการย้อนรอยสืบหาอารยธรรมปันหยี กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออารยธรรมชวาโบราณ
อันเป็นรากกำเนิดของสังคมอินโดนีเซียในปัจจุบัน
โดยมองผ่านเรื่องรักโรแมนติก (อันสุดแสนอลวนวุ่นวาย) ของเจ้าชายรูปงามผู้เก่งกล้าทะนงองอาจ และอิทธิพลของเรื่องเล่านี้ที่ส่งผลต่อความเข้าใจชวา/อินโดนีเซียของสังคมไทย อันจะช่วยเปิดทัศนะมุมมองและความคิด ทั้งยังให้อรรถรสทางด้านศิลปะ-วรรณคดี
“ส่วนหนึ่งของการมองเหล่านั้นคือวรรณคดีเรื่องอิเหนา ซึ่งเคยได้อ่านกันมา รู้สึกถึงความไพเราะทางภาษา แต่ผมสนใจไม่เฉพาะแต่การแปลอิเหนาหรืออิเหนามีรากเหง้าเป็นมาอย่างไร แต่ผมสนใจบริบทของการแปลซึ่งเป็นภาษามลายู และไม่ใช่ภาษามลายูราชสำนัก แต่เป็นภาษามลายูที่ใช้กันในโลกมลายูที่มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16-17-18 เป็นภาษาหลักที่ใช้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในโลกยุคจารีตของไทย ใช้ความเป็นอื่นศึกษาคนอื่นเพื่อที่จะกลับมาเข้าใจตัวเอง”


