คำวอนก่อนลา
"ก่อนจะลาขอคำสัญญาสักหน่อย ว่าจะคอยและหาเวลาพบกัน..."
"ก่อนจะลาขอคำสัญญาสักหน่อย ว่าจะคอยและหาเวลาพบกัน..."
สัก 20-30 ปีที่ผ่านมา สมัยที่สถานบันเทิงอย่างที่เรียกว่า "คาเฟ่" กำลังดังๆ อยู่ในย่านนักเที่ยวกลางคืนทั้งหลาย คาเฟ่เหล่านี้จะขาย "นักร้อง" เป็นหลัก คือให้นักร้องสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยขึ้นมาร้องมาเต้นและรับพวงมาลัยจากนักเที่ยวเหล่านั้น ทำให้การดื่มกินสนุกสนานจนลืมเวลา ในสมัยนั้นมีกฎหมายกำหนดให้สถานดื่มกินแบบนี้ปิดตอนตี 2 แต่ก็มีหลายแห่งที่ "เส้นใหญ่ๆ" เปิดได้ถึงเช้า อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาปิดก็จะมีการร้องเพลงส่ง ซึ่งมักจะร้องเป็นหมู่จากนักร้องทั้งหมด คือเพลง "คำวอนก่อนลา" ดังเนื้อร้องที่ยกมานี้
เนื้อเพลงจะเป็นการกล่าวถึงผู้คนที่มาร่วมมีความสุขและสนุกสนานด้วยกัน แต่ด้วยเวลาที่กำหนด (เวลาปิดคาเฟ่) ทำให้ต้องแยกจากกัน "ได้เวลาเข็มนาฬิกากำหนด จำใจงดเสียงเพลงบรรเลงเสียที..." แล้วจบลงที่ร้องว่า "...ให้โชคดี แล้วมีโอกาสพบกัน" พอนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาก็ทำให้นึกถึงการเมืองไทยในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ที่ผู้มีอำนาจให้สัญญาว่าจะปรับเนื้อปรับตัวก่อนที่จะจากลากัน เพราะว่ากำลังจะมีการเลือกตั้งนั่นเอง
ตอนที่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยังรักทหารคณะ คสช.นี้อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกับบุคลิกที่ "ดูเหมือนว่า" จะเอาจริงเอาจังจนน่าเชื่อถือ พร้อมกับคำสัญญาอันดังกระหึ่มในบทเพลงว่า "เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน..." ร่วมกับบุคลิกภาพทีเล่นทีจริงน่ารักๆ ของ หัวหน้าคณะคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มเช่นเดียวกันกับคนที่เข้าไปดูตลกในคาเฟ่และได้รับความบันเทิงจนท้องคัดท้องแข็งนั้น แต่ว่าครั้นเวลานานไปคนไทยก็เหมือนพวก "ป๋าๆ" ที่ไปเที่ยวคาเฟ่แล้วถูกนักร้องหว่านล้อมให้ซื้อพวงมาลัยมาเชียร์ บางคนหมดตัวเพราะเชียร์จนสุดใจ แต่บางคนก็ได้คิดเลิกเที่ยวคาเฟ่นั้น แล้วภาวนาขอให้คาเฟ่แห่งนั้น "เจ๊งๆ" ไปเสียที
ทหารได้กำหนดโรดแมปว่าจะมีการเลือกตั้งตอนตี 2 เอ๊ย ภายในปีนี้ ปีแล้วปีเล่า มาตั้งแต่ปี 2558 นั้นแล้ว รวมถึงที่บอกกับนานาชาติในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือน ต.ค.ปีก่อนว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้อย่างแน่นอน แต่ครั้นเข้าปีใหม่ก็บอกว่าจะมีเลือกตั้งเมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับกฎหมายลูกว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่ากฎหมายลูกแต่ละฉบับกว่าจะเข็นออกมาได้ช่างเหมือนกับ "แม่นาคพระโขนงคลอดลูก" ก็ไม่ปาน ดูมันช่างยากเย็นแสนเข็ญเหมือนจะไม่อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ เสียอย่างนั้น
บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทหารคงเป็นผู้แต่งเพลง "คำวอนก่อนลา" นี้ เพราะในท่อนจบที่ว่า "ให้โชคดี แล้วมีโอกาสพบกัน" คือการเมืองไทยคงต้องพึ่งทหารอีกต่อไป หลังเลือกตั้งก็ยังจะต้องเจอกับการปกครองโดยทหารอีก (อย่างที่ได้มีการวางหมากกลไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกทั้งหลายนั้น) หรือถ้าเลือกตั้งแล้วยุ่งยากวุ่นวายก็คงจะต้องให้ทหารมายึดอำนาจปกครองประเทศต่อไปอีก ให้ประเทศไทยนี้ วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์โดยไม่รู้จบ (วงจรอุบาทว์นี้เป็นทฤษฎีรัฐศาสตร์ของไทยเลยนะ ไม่ได้เป็นคำที่คิดขึ้นเอง)
ผู้ที่แสดงความเหลืออดเหลือทนออกมาอย่างชัดเจนในต้นปีนี้ก็คือท่านพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยท่านเห็นว่าการเมืองไทยถ้ายังปกครองด้วยทหารอยู่เช่นนี้ ประชาธิปไตยของไทยก็จะไม่พัฒนา ฉะนั้นถ้าถึงที่สุดแล้วเพื่อที่จะสู้กับทหาร นักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งหลายก็ควรจะมาจับมือกัน แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะต้อง จับมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อปกป้องประชาธิปไตยจากเงื้อมมือทหาร
ผู้เขียนในฐานะที่สอนวิชารัฐศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการ "ชักเข้าชักออก" เอาแน่ไม่ได้ของผู้ปกครองประเทศไทยในเวลานี้ว่า ได้ทำลาย "หลักธรรมาภิบาลทางการเมือง" ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ "ความซื่อสัตย์สุจริต" เพราะว่าการเมืองไทยในเวลาที่ผ่านมาได้หยัดย้ำถึงความไม่ซื่อตรงไม่มั่นคงอันเกิดจากการ กระทำของผู้มีอำนาจนั้นๆ มาโดยตลอด ทำให้เรามีคำที่มีความหมายแย่ๆ เช่น "การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" หรือ "โกงไม่ว่าถ้าโกงแล้วแจกประชาชน" ฯลฯ และต่อไปก็อาจจะมีคำว่า "สัญญาอะไรไม่ทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับใจของผู้มีอำนาจ" ซึ่งก็จะทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยไปสู่สิ่งที่แย่ๆ ยิ่งไปกว่าเดิม
ระบอบทหารได้ตอกย้ำถึงความเป็น "อำนาจนิยม" ในหมู่คนไทย คือถ้ามีอำนาจแล้วจะ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" อะไรก็ได้ ยิ่งหากเรามองไปรอบๆ ก็จะเห็นในเรื่องของความ "บ้าอำนาจ" ของคนไทยนี้อยู่ทั่วไป เช่น อยู่ๆ ก็เอาปืนยิ่งขึ้นฟ้าเล่นๆ ขับรถปาดซ้ายปาดขวาแล้วท้าตีท้าต่อย จอดรถในที่ห้ามจอดในที่สาธารณะและบ้านคนอื่น ไม่เคารพกฎจราจร ไม่ใส่หมวกกันน็อก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ฯลฯ นัยว่าจะทำอะไรก็ได้ถ้ามีอำนาจ (เงิน กฎหมาย ตำแหน่ง ความบ้า ฯลฯ) มากกว่า
เรื่องอำนาจนิยมนี้เองที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้มากกว่าสิ่งอื่นใด และถ้าหากทหารยังส่งเสริมระบบนี้อยู่โดยทหารนั่นเองที่ทำตัว "หวงอำนาจ" แล้วใช้อำนาจตามอำเภอใจ คนไทยก็คงจะต้องช้ำใจไปอีกนาน สุดท้ายนี้ในโอกาสปีใหม่ก็อยากให้ท่าน "ทำอะไรดีๆ" เพื่อคนไทยและการเมืองไทยบ้าง นี่คือ "คำวอน ก่อนลา (ไปจากชีวิตนี้)" ของคนไทย


