คาดปี2563ไทยเสียตลาดข้าวให้เวียดนามเพิ่ม
คาดการณ์ 10 ปีข้างหน้า ไทยส่งออกข้าวลดลงจากปัจจุบัน 14% ขณะที่เวียดนามส่งออกได้มากขึ้น 25% แนะเร่งพัฒนาคุณภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และทำตลาดให้มีประสิทธิภาพ
คาดการณ์ 10 ปีข้างหน้า ไทยส่งออกข้าวลดลงจากปัจจุบัน 14% ขณะที่เวียดนามส่งออกได้มากขึ้น 25% แนะเร่งพัฒนาคุณภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และทำตลาดให้มีประสิทธิภาพ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คาดการณ์การส่งออกข้าวไทยกับเวียดนามในตลาดโลก 10 ปีข้างหน้า ในปี 2563 ไทยจะส่งออกข้าวได้ 8.6 ล้านตัน ลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 10 ล้านตัน หรือลดลง 14% ขณะที่เวียดนามจะส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น 25% จากปัจจุบัน 6 ล้านตัน มาอยู่ที่ระดับ 7.5 ล้านตัน รวมทั้งไทยจะเสียตลาดข้าวให้กับเวียดนามทั้งในตลาดหลักของไทยอย่างอาเซียน และตลาดโลก
ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาส่งออกข้าวของวียดนามถูกกว่าข้าวไทย และเวียดนามได้พัฒนาคุณภาพข้าวจนใกล้เคียงกับข้าวของไทยแล้ว โดยราคาส่งออกข้าวสาร 5% ของไทยในปี 2548-2552 สูงกว่าเวียดนามมาตลอด ในปี 2548 ราคาข้าวไทยสูงกว่าเวียดนามตันละ 30 เหรียญสหรัฐ และในปี 2552 ราคาส่งออกข้าวสาร 5% ของไทยสูงกว่าเวียดนามถึงตันละ 123 เหรียญสหรัฐ ส่วนราคาส่งออกข้าวสาร 25% ในช่วงปี 2544-2550 ราคาไม่แตกต่างกันมาก โดยราคาของไทยจะสูงกว่าประมาณ 5-10 เหรียญสหรัฐ แต่ปี 2551-2552 ราคาข้าวไทยขยับสูงขึ้นห่างจากราคาข้าวของเวียดนามถึง 50-76 เหรียญสหรัฐ
ส่งผลให้ไทยสูญเสียข้าวในตลาดอาเซียนให้กับเวียดนามตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยในปี 2551 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังอาเซียนได้มากกว่าไทย 500 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับตลาดที่เสียให้กับเวียดนามแล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ ที่ตั้งแต่ปี 2548-ปัจจุบัน เวียดนามส่งออกข้าวไปฟิลิปปินส์ได้มากกว่าไทยถึง 23 เท่า ตลาดมาเลเซีย มาเลเซียนำเข้าข้าวจากเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 5 แสนตัน ในปี 2551 เป็น 9 แสนตันในปี 2552 และนำเข้าข้าวจากไทยลดลงจาก 5 แสนตัน เหลือ 2 แสนตัน เป็นต้น ขณะที่ตลาดฮ่องกง ออสเตรเลีย และไต้หวัน ที่บริโภคข้าวคุณภาพสูงของไทย เวียดนามก็สามารถเข้ามาตีตลาดได้มากขึ้น
สำหรับเหตุผลที่เวียดนามสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออก และพัฒนาคุณภาพให้ใกล้เคียงกับข้าวไทยได้ เนื่องจากเวียดนามสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้สูง โดยในปี 2553/2554 ผลิตได้ 862.4 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ มากกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ระดับ 680 กก./ไร่ สูงเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย และเป็นที่ 1 ของอาเซียน ส่วนไทยผลิตได้ 448 กก./ไร่ เป็นอันดับ 13 ของเอเชีย และอันดับ 7 ของอาเซียน ต่ำกว่ากัมพูชา และลาว
ชาวนาเวียดนามมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า และมีกำไรสูงกว่าชาวนาไทย โดยเวียดนามมีต้นทุนประมาณ 4,978 บาท/ไร่/ครั้ง น้อยกว่าต้นทุนการผลิตของไทย 16.5% ที่ 5,800 บาท/ไร่/ครั้ง ส่วนกำไรที่ชาวนาเวีดนามได้รับ 4,648 บาท มากกว่าไทย 67% ที่ 1,530 บาท
ขณะเดียวกันรัฐบาลเวียดนามมีนโยบาย 3 ลด คือ ลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสม ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช และ 3 เพิ่ม คือ เพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร รวมทั้งนโยบายการทำตลาดข้าวเป็นแบบทีมเดียว คือให้บริษัทส่งออก 2 บริษัทซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจทำตลาด มากระจายให้ผู้ส่งส่งออกรายย่อยในประเทศ กระจายไปตามโรงสี ชาวนา ภายใต้เงื่อนไขว่าชาวนาต้องมีกำไร 30%
รวมทั้งยังมีการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพม่า ในการผลิตข้าว และมีการจัดตั้งตลาดค้าข้าวและคลังสินค้าในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ทันซาเนีย กานา แอฟริกาใต้ และพม่า ทำให้เวียดนามจะมีผลผลิตเพิ้มขึ้นได้ในอีก 10 ข้างหน้า
นายอัทธ์ กล่าว่วา สำหรับไทยต้องเร่งลดต้นทุนการผลิต พัฒนาคุณภาพข้าว เพิ่มผลผลิตต่อไร่และปรับปรุงวิธีการทำตลาดข้าวใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งต้องไม่ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการชุดต่างๆ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าวไทยไม่พัฒนา ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคต


