‘นวกิจ’รุกปั๊มเบี้ยตลาดลาว

ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ

บริษัท นวกิจประกันภัย เป็นอีกหนึ่งบริษัทของไทยที่ร่วมมือกับ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต บริษัท ฟอลคอนประกันภัย และทีเค กรุ๊ป ของลาว เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างกันในชื่อ บริษัท ทีเคไอ เจนเนอรัล อินชัวรันส์ และบริษัท ทีเคไอไลฟ์ อินชัวรันส์ ใช้ประกอบธุรกิจประกันภัยในลาวโดยเฉพาะ โดยหวังว่าหากธุรกิจในลาวประสบความสำเร็จ ก็จะกลายเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายธุรกิจประกันไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ต่อไปอีกในอนาคต

"ชัยโรจน์ กัลยาณลาภ" ถือเป็นผู้บริหารคนไทยและเป็นกรรมการผู้จัดการคนแรกของ บริษัท ทีเคไอ เจนเนอรัล อินชัวรันส์ และบริษัท ทีเคไอ ไลฟ์ อินชัวรันส์ ที่พร้อมเข้าไปบุกเบิกธุรกิจประกันภัยในลาว และเริ่มเปิดตัวไปเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา

ชัยโรจน์ กล่าวว่า สภาพทั่วไปของลาวมีความเป็นอยู่ไม่ได้ต่างจากไทยมากนักเหมือนกับอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จ.หนองคาย ที่อยู่ตรงข้ามเวียงจันทน์ แต่ค่าครองชีพที่ลาวค่อนข้างสูง ขณะที่รายได้ไม่สูง เช่น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 80 บาท ค่าเช่าที่พัก ค่าน้ำมันแพง เนื่องจากต่างชาติเข้าไปลงทุนมาก ซึ่งคนทั่วไปมักจะเข้าใจว่านวกิจไปลงทุนที่นั่นจะทำให้ต้นทุนเราต่ำ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

ปัจจุบันทั้งสองบริษัทมีพนักงานทั้งหมด 13 คน เป็นการทำงานจะรวมทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ซึ่งตอนที่ขอจดทะเบียนเพื่อดำเนินธุรกิจประกันภัยในลาว ได้ทำการแยกการจดทะเบียนเป็น 2 ใบอนุญาต ได้รับการชื่นชมจากกระทรวงการเงินว่าเป็นบริษัทแรกที่มีการแยกใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน เพราะต่อไปในอนาคตจะต้องบังคับให้มีการแยกใบอนุญาตอย่างแน่นอนเหมือนกับไทย

ที่สำคัญคือ ในการดำเนินธุรกิจนั้นก็มีความชัดเจนด้วย เพราะในการดำเนินธุรกิจประกันภัย นวกิจประกันภัย ได้ร่วมกับ ฟอลคอนประกันภัย ส่วนธุรกิจประกันชีวิต ร่วมกับ ไทยรีไลฟ์ โดยไทยรีไลฟ์จะรองรับในเรื่องของเทคนิค ผลิตภัณฑ์ ส่วนนวกิจประกันภัยเองจะทำเรื่องของการตลาด รวมทั้งการสร้างตัวแทน โดยมีแผนที่จะขยายจำนวนตัวแทนให้มากขึ้น

ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยในลาวมีเพียงแค่ 24 บริษัทเท่านั้น แต่มีการดำเนินธุรกิจจริงในปัจจุบันเพียงแค่ 14 บริษัทเท่านั้น ซึ่งรวมของทีเคไอ ไลฟ์ และทีเคไอ เจนเนอร์รัล แล้ว ส่วนที่เหลือยังไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจ และขณะนี้ทางกระทรวงการเงินได้หยุดที่จะเพิ่มจำนวนใบอนญาตแล้ว เพราะจำนวนประชากรในลาวมีเพียง 7-8 ล้านคน กับจำนวนบริษัทประกันภัย 14 บริษัทมันมากเกินไป ซึ่งกำลังมีการพิจารณาว่าจำนวนใบอนุญาตที่เหลือหากยังไม่ดำเนินธุรกิจนั้นจะมีกำหนดระยะเวลา และหากไม่ได้เนินธุรกิจตามกำหนดก็จะยึดใบอนุญาตคืน

สำหรับบริษัทไทยที่เข้ามาดำเนินธุรกิจประกันภัยในลาว ไม่ว่าจะเป็นบริษัท กรุงเทพประกันภัย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป และบริษัท ทิพยประกันภัย ได้มีการดำเนินธุรกิจหมดแล้ว

ส่วนบริษัท ทีเคไอ เจนเนอรัล ได้รับอนุมัติแบบกรมธรรม์แล้ว 6 แบบ ประกอบด้วย 1.ประกันภัยรถภาคสมัครใจ 2.ประกันภัยรถภาคบังคับ 3.ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) 4.ประกันภัยที่อยู่อาศัย 5.ประกันภัยธุรกิจขนาดย่อย และ 6.ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และกำลังยื่นเพิ่มอีก 3 แบบ ประกอบด้วย 1.ประกันอัคคีภัยทั่วไป 2.ประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทาง (ทีเอ) และ 3.ประกันภัยขนส่งสินค้าทางบก ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเกือบครบสำหรับตลาดประกันภัยรายย่อย

"เราไม่หยุดอยู่แค่นี้ แต่จะทำไปเรื่อยๆ โดยจะประยุกต์จากกรมธรรม์ของไทยไปใช้ ซึ่งไม่สามารถนำแบบประกันของไทยไปใช้เลยได้ เนื่องจากสภาพตลาดต่างกันพอสมควร ปัจจัยของตลาดอยู่ที่รายได้ของประชาชน โดยเฉพาะการประกันภัยรถยนต์ เช่น การเกิดอุบัติเหตุ สภาพถนน สภาพสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิศาสตร์ เป็นตัวแปรสำคัญ" ชัยโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดประกันภัยในลาว คือ เรื่องค่าครองชีพ รายได้ต่อหัวค่อนข้างต่ำ เพราะทุกอย่างในการทำตลาดประกันภัยนั้นจะได้รับผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภค และแม้จะมีการซื้อก็จะซื้อเพียงแค่ประกันรถ พ.ร.บ. ที่ยังสามารถคุ้มครองเรื่องทรัพย์สินได้บ้างบางส่วน แต่คนที่จะซื้อประกันรถภาคสมัครใจต้องมีฐานะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง

หากเทียบเบี้ยประกันภัยในลาวกับไทยนั้นถือว่าเบี้ยที่ลาวสูงกว่า เช่น เบี้ยรถฟอร์จูนเนอร์ เครื่องยนต์ 3,000 ซีซี เบี้ยที่ลาวประมาณ 3 หมื่นบาท ส่วนไทยเบี้ยอยู่ประมาณ 2.7 หมื่นบาท เนื่องจากค่าซ่อมที่ลาวสูงกว่าไทย

ส่วนแผนดำเนินธุรกิจในปี 2561 บริษัท ทีเคไอ เจนเนอรัล ตั้งเป้าทำเบี้ยให้ได้ 20 ล้านบาท ส่วน บริษัท ทีเคไอ ไลฟ์ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัย 8.9 ล้านบาท

สัดส่วนของธุรกิจประกันวินาศภัยนั้น พยายามจะเน้นตลาดประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์มากกว่าประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยรถยนต์สูงมาก และหากคิดต้นทุนการเคลมสูงกว่าไทยประมาณ 30% ต่อกรณี ส่งผลต่อเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนแพง อย่างไรก็ตามหากเกิดอุบัติเหตุ แล้วรถสามารถที่จะขับได้ ลูกค้าก็ต้องการที่จะขับมาซ่อมในไทยเพราะมีความมั่นใจ

สำหรับเป้าหมาย 5 ปีนั้น ในช่วง 2 ปี ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่จะขาดทุน แต่พอปีที่ 3 ก็คาดว่าจะสามารถมองเห็นกำไรได้แล้ว โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 3 ของปีที่ 2 ก็น่าจะเริ่มคืนทุนได้เห็น ซึ่งต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องดูแต่ละกลุ่มลูกค้าเพราะการเอาประกันภัยในพื้นที่ แต่ละที่จะมีเรื่องความเสี่ยงเพราะความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้รู้ว่าจะทำให้เราขาดทุนหรือไม่ขาดทุน

ส่วนการคืนทุนของธุรกิจประกันชีวิตคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี เพราะผลิตภัณฑ์ที่ขายส่วนใหญ่เป็นแบบประกันที่คุ้มครองระยะยาว แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คืนทุนได้เร็ว คือ การลงทุน โดยเฉพะธุรกิจประกันวินาศภัย จะต้องบริหารเรื่องต้นทุนให้ดี เพราะหากต้นทุนรวมสูงเกิน 100% ถือว่าการทำธุรกิจมีการขาดทุน แต่ถ้าควบคุมต้นทุนรวมให้ได้ไม่เกิน 95% นับว่าดีมากสำหรับธุรกิจประกันวินาศภัย ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยการลงทุน

นอกจากนี้ มีแผนที่จะขยายสาขาไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ จากปัจจุบันเรามีสำนักงานใหญ่ที่เวียงจันทน์ โดยจะเปิดสาขาที่หลวงพระบาง ปักเซ สะหวันนะเขต คือเป็นหัวเมืองใหญ่ๆ ของลาว

ส่วนธุรกิจประกันชีวิตนั้นได้มีการติดต่อกับโรงพยาบาลเพื่อขอราคา เพื่อทำสัญญาในการรักษาพยาบาล และขยายเครือข่ายการรักษาพยาบาลมายังโรงพยาบาลใน จ.อุดรธานี หนองคาย และมุกดาหาร เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถแฟกซ์เคลมได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย เช่นเดียวกันกับที่ได้ทำสัญญาการซ่อมของโตโยต้าเพื่อให้สามารถซ่อมรถโดยไม่ต้องสำรองการจ่าย ส่วนเรื่องการสำรวจภัยนั้นก็มีการร่วมมือกับพันธมิตรแล้ว เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างครอบคลุม