บุหรี่ไทย VS บุหรี่ต่างประเทศ
ดร.รุจิระ บุนนาค & กรรมการผู้จัดการ & Marut Bunnag International Law Office & [email protected] & Twitter : @RujiraBunnagหลังจากกรมสรรพสามิตปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ส่งผลให้บุหรี่ไทยปรับราคาสูงขึ้นซองละเกือบ 100 บาท ในขณะที่บุหรี่ต่างประเทศหลายยี่ห้อได้ปรับราคาลดลงมาเหลือซองละ 60 บาท ทั้งที่ใช้อัตราฐานภาษีเดียวกัน ทำให้ยอดขายของบุหรี่ไทยในตลาดลดลง กระทบโดยตรงต่อโรงงานยาสูบ
ดร.รุจิระ บุนนาค & กรรมการผู้จัดการ & Marut Bunnag International Law Office & [email protected] & Twitter : @RujiraBunnag
หลังจากกรมสรรพสามิตปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ส่งผลให้บุหรี่ไทยปรับราคาสูงขึ้นซองละเกือบ 100 บาท ในขณะที่บุหรี่ต่างประเทศหลายยี่ห้อได้ปรับราคาลดลงมาเหลือซองละ 60 บาท ทั้งที่ใช้อัตราฐานภาษีเดียวกัน ทำให้ยอดขายของบุหรี่ไทยในตลาดลดลง กระทบโดยตรงต่อโรงงานยาสูบ
อัตราการจัดเก็บภาษีใหม่ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 ที่ผ่านมา เก็บภาษีทั้งจากปริมาณ และราคาขายปลีก คือ เก็บภาษีมวนละ 1.20 บาท หรือซองละ 24 บาท เท่ากันทั้งบุหรี่ไทยของโรงงานยาสูบ และบุหรี่ต่างประเทศ บวกด้วยภาษีที่คิดตามราคาขายปลีก บุหรี่ที่ขายซองละไม่เกิน 60 บาท เสียภาษี 20% เป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้น จะปรับขึ้นภาษีเป็น 40% ส่วนบุหรี่ที่ขายซองละ 60 บาทขึ้นไป เสียภาษี 40% ทันที ทำให้บุหรี่ต่างประเทศหลายยี่ห้อแห่ลดราคาลงมาเหลือเพียงซองละ 60 บาท เพื่อเสียภาษีในฐาน 20%
ทั้งนี้ หลังจากอัตราภาษีใหม่มีผลใช้บังคับได้เพียง 1 เดือน โรงงานยาสูบได้ออกมาเรียกร้องให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ เนื่องจากประสบภาวะขาดทุน จากการแห่ลดราคาของบุหรี่ต่างประเทศ โดยปีที่แล้วโรงงานยาสูบได้นำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลัง 1.3 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9,344 ล้านบาท แต่เมื่อปรับอัตราภาษีใหม่เพียงเดือนเดียวทำให้ยอดขายลดลง และหากยังไม่ปรับเปลี่ยนอัตราภาษี คาดว่าในปีงบประมาณ 2561 โรงงานยาสูบอาจจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตลง 1 หมื่นล้านมวน และลดการรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกร คงเหลือกำลังการผลิตเพียงแค่ 1.7 หมื่นล้านมวน โดยอาจจะไม่สามารถนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลัง และอาจจะขาดทุน 1,575 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้โรงงานยาสูบครองส่วนแบ่งในตลาดบุหรี่ 75% มากกว่าบุหรี่ต่างประเทศและผูกขาดตลาดบุหรี่มาโดยตลอด โดยเฉพาะตลาดล่างมีบุหรี่ยี่ห้อต่างๆ ประมาณ 10 ยี่ห้อ ในตลาดนี้ราคาซองละ 40-50 บาท ในขณะที่บุหรี่ต่างประเทศตอนที่ยังไม่ปรับอัตราภาษีใหม่ขายกันซองละ 70 บาทขึ้นไป จัดเป็นบุหรี่ตลาดกลางถึงบนคนละตลาดกับบุหรี่ของโรงงานยาสูบ คนที่สูบบุหรี่ต่างประเทศกับบุหรี่ไทยจะเป็นลูกค้าคนละฐานกันหรือตามรสนิยมของแต่ละคน
บุหรี่ตลาดล่างของโรงงานยาสูบได้รับความนิยมมากในต่างจังหวัด มากกว่าในตัวเมืองที่บุหรี่ต่างประเทศจะตีตลาดตามผับ ตามบาร์ ห้างร้านใหญ่ๆ แต่เมื่อบุหรี่ไทยปรับราคาขึ้นสูงซองละเกือบ 100 บาท ทำให้คนที่เคยนิยมบุหรี่ไทยเพราะรสชาติจะแน่นกว่าบุหรี่ต่างประเทศหาทางเลือกอื่น และหันไปสูบใบจากกับยาเส้นซึ่งมีราคาถูกกว่าและประหยัดกว่าบุหรี่ไทย ประกอบกับมีบุหรี่หนีภาษีเพิ่มมากขึ้นและมีราคาถูกกว่าบุหรี่ไทย เพราะมีคนลักลอบนำเข้ามาหวังแย่งลูกค้าในช่วงที่รัฐบาลปรับขึ้นอัตราราคาบุหรี่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายของโรงงานยาสูบ
การปรับขึ้นราคาบุหรี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในภาพรวม แต่ทำให้รายได้รัฐลดลง เนื่องจากโรงงานยาสูบจัดเป็น 1 ใน 6 รัฐวิสาหกิจ ที่ส่งเงินรายได้เข้าคลังมากที่สุด ประกอบด้วยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บริษัท ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เงินที่ได้จากโรงงานยาสูบยังได้ส่งเข้ากองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 3 กองทุนนี้ตัวเลขรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1,900 ล้านบาท/ปี โรงงานยาสูบจึงเปรียบเสมือนเป็นธุรกิจสีเทา เพราะมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่การจัดเก็บภาษีบาปยังนับว่ามีความจำเป็น
หลังจากนี้ กระทรวงการคลังและภาครัฐจะต้องหาวิธีการแก้ปัญหาเพื่อลดการขาดทุนของโรงงานยาสูบ หากประเทศไทยตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันบุหรี่ต่างประเทศ ควบคุมหรือจำกัดการนำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่สามารถทำได้ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยรัฐบาลต้องดำเนินการเจรจาการค้ากับประเทศที่ผลิตบุหรี่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสินค้าอื่นๆ ที่ส่งออกของประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ต้องปรับอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ส่งผลให้บุหรี่ไทยมีราคาสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เพื่อเป็นการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะการเข้าถึงของเยาวชน และรณรงค์ให้คนไทยเลิกสูบบุหรี่ แต่ไม่ได้คาดการณ์ถึงกลยุทธ์การแข่งขันทางการตลาดของบุหรี่ต่างประเทศ ที่ต้องการมาแย่งส่วนแบ่งในตลาดบุหรี่ด้วยการลดราคา และภาครัฐไม่ได้มีมาตรการรองรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ การที่บุหรี่ไทยจะปรับตัวสู้บุหรี่ต่างประเทศได้ ต้องอาศัยกลยุทธ์ทางการตลาด และหากว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ภาษีบุหรี่จะปรับเท่ากันหมดทุกราคาเป็น 40% ถึงตอนนั้นราคาบุหรี่ไทยและบุหรี่ต่างประเทศอาจมีราคาใกล้เคียงกัน เพียงแต่ช่วงเวลานี้เมื่อฐานภาษีทำให้เกิดเป็นช่องว่างของการทุ่มตลาด (Dumping) จากบุหรี่ต่างประเทศ คือ การกำหนดราคาเพื่อขจัดคู่แข่งขันที่เป็นบุหรี่ไทยรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการค้าระหว่างประเทศ การทุ่มตลาดเกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังอีกประเทศหนึ่ง ที่ราคาต่ำกว่าราคาที่ตั้งในตลาดภายในประเทศ โรงงานยาสูบคงต้องประคองตัวเพื่อให้อยู่รอด หรือภาครัฐจะยอมกลับลำปรับอัตราภาษีบุหรี่ใหม่อีกรอบเพียงเพื่อช่วยโรงงานยาสูบ n


