ไคตั๊ก: ชีวิตใหม่ สนามบินเก่า
ใครที่เคยไปฮ่องกงก่อน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ต้องเคยใช้บริการสนามบินไคตั๊ก (Kai Tak)
โดย อาทิตย์ โกวิทวรางกูร
ใครที่เคยไปฮ่องกงก่อน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ต้องเคยใช้บริการสนามบินไคตั๊ก (Kai Tak)
ผมเองเคยไปฮ่องกงครั้งแรกในปี 2552 ไม่ทันได้ใช้สนามบินแห่งนี้ แต่เคยได้ไปเหยียบรันเวย์ปลดเกษียณ รวมถึงได้ไปเดินเล่นบนสวนดาดฟ้าของอาคาร Cruise Terminal อวัยวะใหม่ชิ้นแรกของการแปลงสภาพพื้นที่แห่งนี้
ชื่อ ไคตั๊ก ของสนามบินแห่งนี้ มาจากชื่อคนสองคน และถูกตั้งขึ้นนานก่อนจะเกิดสนามบิน
เกือบร้อยปีก่อน Ho Kai และ Au Tak ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่เพื่อรองรับคนจีนมีฐานะ ที่ต้องการอพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ช่วงภายหลังการปฏิวัติล้มราชวงศ์ในประเทศจีน ในชื่อ Kai Tak Bund โดยพวกเขาเลือกที่จะถมทะเลย่านเกาลูนเบย์เพื่อสร้าง แต่สุดท้ายกิจการไม่ประสบผลสำเร็จ จึงขายที่ดินให้กับรัฐบาล
ต่อมาที่ดินได้ถูกปล่อยเช่าแก่โรงเรียนการบิน ถูกใช้เป็นฐานทัพของกองทัพอากาศ จนในที่สุดพัฒนาการมาเป็นสนามบินพาณิชย์
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดครองฮ่องกง มีความคิดที่จะขยายสนามบิน จึงสร้างรันเวย์ใหม่ ต่อลงไปในทะเลโดยการถม (Reclamation -- ซึ่งเป็นวิธียอดนิยมของเกาะที่ขาดแคลนพื้นที่อย่างฮ่องกง มาตั้งแต่สมัยอังกฤษยึดเป็นอาณานิคมเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน สิงคโปร์เองก็ถมทะเล พื้นที่แลนด์มาร์คอย่าง Marina Bay ก็ถมเพิ่มเอา) หลังญี่ปุ่นกลับไป ฮ่องกงเองได้มีการถมต่อรันเวย์ออกไปอีก จนพื้นที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ความคึกคักคับคั่งของสนามบินไคตั๊ก ก็เติบโตไปพร้อมกับฮ่องกงและโลกาภิวัตน์
ในที่สุดวันหมดอายุก็มาถึง ในปี 1998 หนึ่งปีหลังฮ่องกงคืนสู่จีน ฮ่องกงย้ายสนามบินนานาชาติไปที่แห่งใหม่ บริเวณแถวเกาะ Lantau ทางตะวันตกของประเทศ (โดยใช้การถมทะเลอีกเช่นเคย) นั่นคือปฐมบทของสนามบิน Chek Lap Kok
แม้ไคตั๊กในฐานะสนามบินจะปิดฉากลง แต่ชีวิตใหม่ในร่างเก่า กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
การตัดสินใจว่า "ไคตั๊ก -- หลังจากย้ายสนามบินไปแล้ว -- จะให้เป็นอะไร?" เป็นเรื่องที่คิดกันมานานนับสิบปี และกว่าจะสื่อสาร แลกเปลี่ยน ถกเถียง คัดค้าน ฟ้องร้อง ปรับเปลี่ยน พูดคุย จนได้ข้อสรุปในแต่ละขั้น ก่อนจะเริ่มต้นเฟสแรกได้ ก็ใช้เวลาอีกเป็นสิบปี
จะเรียกการวางแผนพัฒนาเมืองในพื้นที่ไคตั๊ก เป็น "กระบวนการที่มีชีวิต" ก็คงไม่ผิดนัก
และกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและส่วนร่วมของผู้คน ที่วันนี้ฮ่องกงปฏิบัติเป็นมาตรฐานก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันแรก หากแต่เป็นปฏิกิริยา เป็นการปรับตัว ของหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ เพื่อให้การพัฒนาเมืองเดินหน้าต่อไปได้
อย่างสิ่งที่เรียกว่า แผนแม่บททางความคิด (Conceptual Master Plan) ที่โดยทั่วไปจะใช้วิธีกำหนดให้จบแต่เริ่ม แล้วดำเนินการก่อสร้างตามนั้นไป แต่ในกรณีของไคตั๊กใช้วิธีการ "ทำไป-ปรับไป" ปัจจุบันถือว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ 5 แล้ว (5.0) พวกเขานิยามมันว่าเป็น "Living document to capture the transformation process"
ทำไมโครงการพัฒนาไคตั๊กถึงน่าสนใจ?
1.ขนาดพื้นที่มหาศาลและอยู่กลางเมือง : พื้นที่รวมคือ 328 เฮกตาร์ หรือประมาณ 2,050 ไร่
2.ติดริมน้ำ ยาวเฟื้อย : ด้วยตำแหน่งของสนามบินที่อยู่ริมน้ำและรูปทรงของรันเวย์ที่ยื่นเข้าไปในน้ำ และพื้นที่ริมน้ำบริเวณโดยรอบ ทำให้มีศักยภาพมหาศาลในการพัฒนา ในทางเลือกต่างๆ (เลยทะเลาะกันมากในประเด็นนี้)
3.Redevelopment : เป็นการพัฒนาบนพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นอย่างอื่นมาก่อน สร้างประโยชน์ใช้สอยใหม่
4.New standard-setting : ฮ่องกงต้องการใช้ไคตั๊กเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองฮ่องกงในอนาคต และสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ให้กับการพัฒนาเมือง ทั้งในแง่กระบวนการและผลลัพธ์
50 ปีที่ผ่านมา ฮ่องกงผ่านการวางแผน ออกแบบ และสร้าง "เมืองใหม่" มาโดยตลอด แต่โดยมาก มักเป็นการไปบุกเบิกพื้นที่ใหม่ (โดยเฉพาะในเขต New Territories) แต่ไคตั๊กนั้น เป็นการ "พัฒนาใหม่อีกครั้ง" บนพื้นที่ขนาดยักษ์ กลางเมือง ในประเทศที่ที่ดินหายากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เรื่องจึงน่าสนใจมาก
โครงการนี้สำคัญมาก ขนาดถูกใส่ไว้เป็นหนึ่งใน พันธกิจหลักของหน่วยงานพัฒนาเมืองของฮ่องกงกันเลยทีเดียว
และการพัฒนาสนามบินเก่านี้ ไม่ได้มองแบบแยกส่วนเฉพาะตรงพื้นที่สนามบิน หากยังมองความเชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ และถือโอกาสรวมเอาพื้นที่แถบรอบๆ ที่เคยเป็นย่านอุตสาหกรรมการผลิตอันเฟื่องฟู และสร้างความมั่งคั่งให้กับฮ่องกง เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่วันนี้ซบเซามาตามลำดับ เข้ามารวมอยู่ในโครงการด้วย เพื่อชุบชีวิตใหม่ให้กลับไปคึกคักอีกครั้ง ในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปรไปตามยุคสมัย และเรียกมันว่า Energizing East Kowloon
ผมถามตัวเองว่า โครงการนี้ให้บทเรียนอะไร และมีสิ่งไหนเป็นประโยชน์ในการเอามาปรับใช้กับบ้านเมืองเราไหม โดยเฉพาะกับโครงการขนาดยักษ์กลางเมืองอย่างพื้นที่มักกะสัน
ผมพบหลายประเด็นน่าสนใจ โดยเฉพาะในแง่ของ "กระบวนการ" และ "วิธีคิด" ที่เราเรียนรู้มาปรับใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อสักสตางค์เดียว
ที่ชอบมากของโครงการนี้ คือมัน ยังไม่เสร็จ มันอยู่ระหว่างทาง เราสามารถไปสัมผัสจริงได้ ไปศึกษาเรียนรู้ดูพัฒนาการของมัน ดูการปฏิบัติจริงจากแผนงาน ดูผลลัพธ์ของความคิด
เปิดฉากมาขนาดนี้แล้ว ผมขอไปต่อให้สะเด็ด สักสองสามตอนนะครับ


